18 ต.ค. 2554

หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ 142 " ไม่สยบให้อธรรม ! "


โดย ดำ รักจริง ผู้พิมพ์เผยแพร่ในเฟสบุ๊ค เมื่อ 6 ตุลาคม 2011 เวลา 9:02 น.           



   


แด่ทุรชน


ชีวิตหนึ่งเกิดมาไร้ค่านัก

จงตระหนักบาปอกุศลที่ตนก่อ
มองสิ่งเลวแก่โลกหล้ามาเกินพอ
จบแล้วต่อภาคใหม่ใต้นรกาณต์

     แด่วิญญูชน

ชีวิตหนึ่งเกิดมามีค่านัก
ด้วยตระหนักบุญกุศลตนสืบสาน
มอบสิ่งดีแก่โลกหล้ามาเนิ่นนาน
จบแล้วผ่านสู่ภาคใหม่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม



• อิสรา •

------------------------------------------------*

สารบัญ

ห้องรับแขก
ต่อสารโทรพี่เสื้อแดง    -----------------------  ๓๕
ถึงชาวไทยที่รักในหลวง  ----------------------  ๔๑

บุคคลกับสถานการณ์
ภาณุ  พิทักษ์เผ่า   ----------------------------  ๒๒
อังคาร...ผู้ผ่านปัจฉิมวัย  ---------------------  ๔๔

ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ความขาวที่มาพร้อมสารพิษ  -----------------  ๘๘
ขยะขยวยะ   ----------------------------------  ๙๒

ธรรมะสำราญ
การเมืองใหม่  -------------------------------  ๑๑
สำนึกสวนสาธารณะ  ------------------------  ๓๒
ชาดก/"ชนะ"กันที่"ศีล"   -------------------  ๕๐



ประจำ-ปกิณกะ

บทวิจารณ์/ความยุติธรรมในความเป็นธรรม  --------------  ๔
รอบบ้านรอบตัว/อำมาตยาธิปไตยฯ   ----------------------  ๑๗
ถ้อยคำสิริมงคล/ให้ ๑ ล้านทำมั้ย?  ------------------------  ๕๖
โปสการ์ดจาก อ.หญิง   ------------------------------------  ๕๘
หลายชีวิต/สยามเมืองยิ้ม   --------------------------------  ๖๐
You've got mail   ----------------------------------------- ๖๘ 
จาก น.ส.พ./หญิง ๖๓ เดินทรหด   ----------------------  ๖๖
สุขถาพและความงาม/แม่วัยใส   -------------------------  ๗๒
เรื่องสั้น/โม   ----------------------------------------------  ๗๖
ธรรมะกับการเกษตร   ------------------------------------  ๘๓
บอกอบอกกล่าว   ----------------------------------------  ๙๖



ผืนดินแห้ง แต่แรงใจยังมี ?

     ทุกวันนี้เดินไปไหนมีแต่คนบ่นอากาศร้อน แหงมองท้องฟ้า ดูมืดครึ้มเหมือนฝนจะตก แต่ก็ไม่ตก ไร่นาเสียหาย สัตว์ป่าอยู่อย่างทรมาน อาหารและน้ำหายากขึ้นเรื่อยๆ ช้างป่าออกจากป่าเพื่อความอยู่รอด กินและทำลายพืชผลจนชาวบ้านหมดตัวไปหลายราย น้ำในนาแห้งเหือด แม้แต่กบเขียดก็ไม่มีเสียร้องให้ได้ยิน แล้วข้าวหรือจะมีแรงงอก

     เสียงเรียกร้องหาฝนหลวงระงมไปทั่วอีสาน ทำไมไม่เรียกหาคนที่อยู่มอนเตเนโกรล่ะคนอีสานส่วนใหญ่รักพ่อหลวง เพราะรู้ดีว่าพ่อหลวงเสด็จไปอีสานและทำนุบำรุงพื้นที่มากมาย จนพระองค์ท่านประชวร ถึงกระนั้น หน้าที่ของพ่อที่ปกป้องและให้ความอบอุ่นแก่ลูกๆ ก็ยังดำรงอยู่ ด้วยพระเมตตาและพระปรีชาญาณที่ทรงปกป้องชาวไทยได้เสมอแม้ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน

     ประเทศไทยจะเป็นไปในทิศใดไม่ต้องสงสัย ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศผ่านความวิบัติมาแล้วทั้งนั้นในอดีต แล้วเราเป็นใคร ทำไมจะต้องกลัวหรือกังวลในสิ่งที่กำลังจะเกิด เพียงแค่ถ้าเราหันมาเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น ไม่ใช่เห็นใจคนชั่ว และวทำมั่วๆกับคนดี ชาตินี้ก็ยังหาสันติในสังคมไทยไม่ได้ ถ้าการทำดียังไม่เป็นที่นิยม แม้จะใช้แผนปรองดองกี่สิบแผนก็ตาม

     นึกถึงคำกล่าวของอาจารย์เสรี วงศ์มณฑา ที่ว่า "กลัวจะเห็นประเทศไทยตายก่อนที่ตัวท่านจะตาย" ฟังดูหวาดเสียวไหม
     อย่าเพียงบอกให้อภัย แล้วลืมๆกันไปเสีย นี่ไม่ใช่เรื่องเด็กวัดแย่งขนมกันกิน แต่เป็นเรื่องของคนโกงกำลังจะหั่นประเทศเป็นเสี่ยงๆ

     "อย่าให้คนไม่ดีมาบริหารประเทศ" พ่อหลวงเคยตรัสไว้
     กำจัดคนชั่ว อภิบาลคนดี เพื่อศักดิ์และศรีของมหาชนชาวสยาม แล้วเราจะก้าวเดินไปด้วยกัน สู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ศิวิไลซ์กว่า...


--------------------------------------------------------------
น.๔ - ๑๐
บทวิจารณ์
ฟ้าเมือง ชาวหินฟ้า

ความอยุติธรรมในความเป็นธรรม

โครงสร้างของตึกรามบ้านช่องที่ตั้งตระหง่านเหนือพื้นดินให้เราเห็นอยู่นั้น จะมีความมั่นคงแข็งแรงเพียงใด ย่อมขึ้นกับโครงสร้างของฐานรากส่วนที่ฝังอยู่ใต้ดินซึ่งเรามองไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกับในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมทั่วไปของมนุษย์นั้น จะถูกกำหนดจากอิทธิพลของโครงสร้างส่วยที่เป็นจิตใต้สำนึก (subconscious)และจิตไร้สำนึก  (unconscious) ที่อยู่ลึกลงไปกว่าระดับของจิต สำนึกปรกติ (conscious)

     เนื่องจากโครงสร้างที่อยู่ลึกกว่าระดับผิวพื้นปรกติเหล่านี้เป็นโครงสร้างส่วนที่ไม่สามารถมองเห็นตัวตนโดยง่าย เราจึงมักจะมองข้ามความสำคัญ สุดท้ายก็กลายเป็นสาเหตุของปรากฎการณ์แห่งปัญหาต่าง ๆ ที่แก้ไขได้ยาก เพราะไม่สามารถสืบสาวไปถึงมูลเหตุที่แฝงอยู่ในระดับของโครงสร้างส่วนลึกดังกล่าว

     ระบบสังคมการเมืองของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ปรากฎการณ์ของปัญหาต่างๆ ในโครงสร้างส่วนบททางสังคม (super-structure) จะถูกกำหนดจากอิทธิพลของโครงสร้างล่าง (sub-structure) ในแบบวิถีการผลิต (mode of production) และความสัมพันธ์ทางการผลิต (production relation) รวมถึงอิทธิพลของโครงสร้างส่วนลึก (deep structure) ที่เป็นปฎิสัมพันธ์ทางด้านความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในสังคมอันจับต้องตัวตนได้ยากด้วยทั้งนี้ถ้าสืบสาวไม่ถึงมูลเหตุที่แฝงอยู่ในโครงสร้างส่วนลึกทางสังคม ก็ยากที่เราจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ลุล่วงด้วยดีได้อย่างเที่ยงตรงในเหตุในเหตุในนผล

     ปัญหาความขัดแย้งแตกแยกในระบบสังคมการเมืองไทยปัจจุบันที่ยืดเยื้อมากว่า ๔ ปีนั้น มีสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งจากปัญหาด้านความรู้สำนึกคิดของผู้คนเกี่ยวกับเรื่อง "ความชอบธรรม" ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างส่วนลึกของระบบสังคมการเมืองไทย ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้จึงเป็นเรื่องแก้ไขไม่ได้ด้วยการพยายามจะใช้ "อำนาจ" ในลักษณะต่าง ๆ เข้าไปบีบบังคับเพื่อทำให้ปัญหาคลี่คลายลงให้จงได้

     นับแต่ตั้งน้ำแข็งที่ปกคลุมโลกเมื่อประมา ๑๐,๐๐๐ ปีก่อนหลอมละลายมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่าโฮโมเซเปียนส์ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากธรรมชาติ (natural selection) ให้ผ่านพ้นยุคน้ำแข็งอันโหดร้ายทารุณมาได้ก็เริ่มเข้ายึดครองโลก

     สติปัญญาของมนุษย์โฮโมเซเปียนส์นำไปสู่การค้นพบวิธีเพราะปลูก และได้เปลี่ยนแบบวิถีการผลิตของมนุษย์จากการล่าสัตว์มาเป็นการทำเกษตรกรรมจากนั้นเผ่าพันธ์มนุษย์ก็เริ่มหยุดเร่ร่อนและลงหลักปักฐานตั้งรกรากอยู่ตามลุ่มน้ำสำคัญของโลก พลังของวิถีการผลิตแบบเกษตรกรรมทำให้มนุษย์มีอาหารมากขึ้น และมีเวลาเหลือจากการหาอาหารยังชีพในแต่ละวัน จนสามารถใช้เวลาว่างคิดค้นพัฒนาศิลปวิทยาต่างๆ ที่นำไปสู่การก่อเกิดของอารยธรรมมนุษย์บนผืนพิภพนี้

     ขณะเดียวกันวิถีการผลิตแบบเกษตรกรรมทำให้มนุษย์มาอยู่รวมกันเป็นสังคมขนาดใหญ่บนพื้นที่ราบซึ่งเหมาะต่อการเพาะปลูกตามลุ่มน้ำต่างๆ เมื่อผู้คนอยู่รวมกันจำนวนมาก สุดท้ายก้คลี่คลายไปสู่การสร้างระบบการเมืองในโครงสร้างส่วนบนทางสังคมตามมา เพื่อจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันอย่างปรกติสุขของชุมชนมนุษย์

     ความมีสติปัญญาและเหตุผลทำให้มนุษย์พยายามจะเข้าใจตำแหน่งแห่งที่ของตนเองในธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิถีการผลิตแบบเกษตรกรรมต้องพึ่งพาดินฟ้าอากาศเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มนุษย์พยายามจะแสวงหาคำอธิบายถึง  "เหตุและผล"  ของปรากฎการณ์ทั้งหลาย เพื่อนมนุษย์จะได้สามารถควบคุมธรรมชาติในทิศทางที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต และคำอธิบายที่มนุษย์ในอารยธรรมต่างๆค้นพบเบื้องแรกก็คือ มีเทพหรือพระเจ้าที่ทรงอำนาจคอยควบคุมกำกับอยู่เบื้องหลังปรากฎการณ์ในธรรมชาติ ซึ่งถ้ามนุษย์ประกอบพิธีกรรมเพื่อเอาอกเอาใจเทพหรือพระเจ้านั้นๆ ได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถควบคุมธรรมชาติให้เป็นไปในทิศทางที่มนุษย์ต้องการได้ (อันเป็นเสมือนการคิดค้นเทคโนโลยีเก่าแก่ที่มนุษย์ใช้ควบคุมธรรมชาติขึ้น)

     ขณะที่ความเชื่อทางศาสนาแบบเทวนิยม ได้ครอบงำอารยธรรมของมนุษย์ในซีกโลกต่างๆ นั้น สิ่งที่ติดตามมาก็คือการพยายามเชื่อมโยงคำอธิบายถึง "ความชอบธรรมแห่งอำนาจ" ในระบบสังคมการเมืองของมนุษย์เข้ากับพื้นฐานความเชื่อทางศาสนาจนเกิดเป็น "ลัทธิเทวสิทธ์" ที่ให้คำอรรถาธิบายถึงความชอบธรรมแห่งอำนาจของผู้ปกครองบ้านเมืองว่ามาจากเทพหรือพระเจ้าบนสวรรค์ เพราะผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นอวตารของเทพ สืบสายโลหิตจากเทพ ได้รับอาณัติจากเทพหรือพระเจ้าให้มาปกครองมนุษย์บนโลก ฯลฯ ฉะนั้นจึงมีความชอบธรรมที่จะใช้ "อำนาจจากสวรรค์" เพื่อปกครองเหนือมนุษย์คนอื่นๆ และเนื่องจากบุตรของเทพย่อมสืบสายโลหิตแห่งความเป็นเทพด้วย ส่งผลทำให้เกิดระบบการสืบทอดอำนาจทางการเมืองผ่านทางสายโลหิตตามมา

     จนกระทั่งเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนที่ภูมิปัญญาทางวิทยาศาสตร์เริ่มก่อเกิดขึ้นในช่วงฟื้นฟูศิลปวิทยาของยุโรปหลังยุคมืด คำอธิบายปรากฎการณ์ของธรรมชาติอย่างเป็นเหตุเป็นผลตามหลักวิทยศาสตร์เริ่มท้าทายความเชื่อทางศาสนาแบบเดิมผลที่สุดปาฎิหาริย์แห่งภูมิปัญญาของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแบบใหม่ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถควบคุมธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งกว่าพิธีกรรมทางศาสนาแบบเดิมก็เป็นฝ่ายชนะความเชื่อทางศาสนา อันส่งผลกระทบไปถึงระบบความคิดทางการเมืองภายใต้ลัทธิเทวสิทธิ์ที่ผูกติดอยู่กับความเชื่อทางศาสนาด้วย

     สุดท้ายก็มีผู้เสนอชุดของคำอรรถาธิบายถึง"ความชอบธรรมแห่งอำนาจ" ในระบบสังคมการเมืองมนุษย์ขึ้นใหม่บนพื้นฐานของความคิดที่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ภายใต้ทฤษฎีสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) ที่อธิบายว่า อำนาจรัฐไม่ได้ก่อเกิดมาจากเทพหรือพระเจ้าบนสวรรค์ แต่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันบนพื้นโลกนี้ที่เสมือนหนึ่งได้มาร่วมกันทำ "สัญญาประชาคม" เพื่อก่อตั้งรัฐขึ้นโดยมนุษย์พร้อมใจลด "สิทธิ" ที่ทุกคนมีอยู่ตามธรรมชาติบางส่วน และยินยอมให้ผู้ปกครองบ้านเมืองสามารถใช้อำนาจเหนือสิทธิเท่าที่ผู้คนตกลงมอบให้ เพื่อจะได้ใช้อำนาจนั้นปกป้องคุ้มครองสิทธิส่วนใหญ่ที่เหลือของผู้คนในสังคม (เช่น ยินยอมให้รัฐสามารถเรียกเก็บภาษีจากสิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคลจำนวนหนึ่ง เพื่อให้รัฐมีเงินไปจ้างทหารและตำรวจมาปกป้องคุ้มครองสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายหรือศัตรูผู้กุกรานจากภายนอก เป็นต้น) และเพื่อเป็นการควบคุมไม่ให้รัฐใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ปฎิบัตินอกกรอบพันธะสัญญาประชาคม จึงนำไปสู่ระบบการเลือกตั้งผู้ปกครองบ้านเมืองในทุกรอบระยะเวลาหนึ่งๆแทนระบบการสืบทอดอำนาจทางการเมืองโดยสายโลหิตแบบเดิม อันเป็นที่มาของลัทธิการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีอิทธิครอบงำอารยธรรมของมนุษย์ในโลกทุกวันนี้

     เนื่องจากภูมิปัญญาทางวิทยาศาสตร์ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีคุณค่าและศักยภาพของมนุษย์แต่ละคน ที่จะสามารถเข้าถึงความจริงในธรรมชาติ (จนควบคุมธรรมชาติได้) โดยไม่ต้องพึ่งพาพระเจ้าบนสวรรค์ ตลอดจนการให้อิสรเสรีภาพกับมนุษย์ที่จะสามารถคิดนอกกรอบความเชื่อกระแสหลักที่ครอบงำสังคม ฉะนั้นค่านิยมแบบ มนุษยนิยม (Humanism) และเสรีนิยม (Liberalism) จึงกลายเป็นคุณค่าสำคัญที่แฝงอยู่ภายใต้ลัทธิการเมืองแบบประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับจิตวิญญาณทางวิทยาศาสตร์

     จอห์น รอลส์ (John Rawls) เจ้าของผลงาน "A Theory of Justice" ที่มีชื่อเสียง ได้อาศัยทฤษฎีสัญญาประชาคมเป็นพื้นฐานเพื่อสืบสาวต่อไปถึงเงื่อนไขอันจักทำให้ผู้คนที่มีสถานะแตกต่างหลากหลายทางสังคมเศรษฐกิจมาร่วมกันทำสัญญาจัดตั้งรัฐได้จนพบหลักการพื้นฐาน ๒ ข้อ ซึ่งรอลส์เรียกว่า

"หลักความยุติธรรมในความเป็นธรรม" (justice as fairness) ที่อยู่เบื้องหลังสัญญาประชาคม กล่าวคือผู้คนจะยอมรับสัญญาประชาคมในการจัดตั้งรัฐต่อเมื่อ ประการแรกรัฐต้องใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้นั้นปฎิบัติต่อคนทุกคนในทางที่ให้อิสระเสรีภาพอย่างเต็มที่ (ตามคุณค่าแบบเสรีนิยม) และให้ความเสมอภาคกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันมากที่สุด (ตามคุณค่าแบบมนุษยนิยมที่ให้ความเคารพต่อศักดิ์ศรีของมนุษย์แต่ละคน) ประการที่สองถ้าหากมีความเหลื่อมล้ำไม่เสมอภาคเกเกิดขึ้นการใช้อำนาจรัฐอย่างไม่เสมอภาคเท่าเทียมดังกล่าว จักพึงยอมรับได้ก็ต่อเมื่อเป็นการช่วยให้คนที่ทุกข์ยากที่สุดในสังคมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น

     ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า "หลักความยุติธรรมในความเป็นธรรม" ก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในโครงสร้างส่วนลึกของระบบสังคมการเมืองแบบประชาธิปไตย (หรือลัทธิ"โลกาทิปไตย"ที่ยึดถือประชาชนหรือโลกเป็นใหญ่ อันต่างจากลัทธิ"อัตตาธิปไตย"ที่ยึดถือผู้ปกครองบ้านเมืองผู้ทรงเทวสิทธิ์เป็นใหญ่) เพราะเมื่อยึดประชาชนเป็นใหญ่ ขณะที่ประชาชนแต่ละหมู่กลุ่มอาจมีเกณฑ์วินิจฉัยความผิดชอบชั่วดีที่เป็นเรื่องเชิงคุณค่าแตกต่างกันไป ตาม"เหตุผลและตรรกะ"ของเกณฑ์วินิจฉัยนั้นๆในกรณีเช่นนี้เราจะไม่สามารถตัสินและแสวงหา "ข้อยุติโดยธรรม"ได้ด้วย"เหตุผล"เนื่องจากเมื่อพยายามจะตอบคำถามว่าเกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผลของฝ่ายใด "ถูกต้องกว่าหรือดีกว่า" ก็หมายถึงต้องมีเกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผลในอีกระดับหนึ่งเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการตัดสินว่า "ใครดีกว่าหรือถูกต้องกว่า"ซึ่งถ้ามีผู้เสนอเกณฑ์วินิจฉัยของเกณฑ์วินิจฉัยมากกว่าหนึ่งเกณฑ์ ก็หมายถึงต้องมีเกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผลที่เหนือขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเพื่อมาตัดสินเกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผลในระดับที่ต่ำกว่าดังกล่าว สุดท้ายก็จะสามารถตั้งคำถามต่อไปได้เรื่อยๆ เช่นนี้อย่างไม่มีจุดสิ้นสุด (infinite regress)

     ฉะนั้น "ข้อยุติโดยธรรม" สังคมจึงอยู่ที่การหันกลับมายึดเสียงส่วนมากของผู้คนว่าจะถือเอาเกณฑ์วินิจฉัยแบบไหนเป็นบรรทัดฐาน และปฎิบัติต่อคนทุกคนอย่าง"เสมอภาคเท่าเทียม"ภายใต้บรรทัดฐานนั้นๆ จนกว่าเมื่อผู้คนส่วนใหญ่พบว่าบรรทัดฐานดังกล่าวใช้การไม่ได้ ก็ค่อยเปลี่ยนไปยึดบรรทัดฐานใหม่ ดังนี้ก็จักสามารถเป็นหลักการยึดโยงให้ผู้คนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันในระบบสังคมการเมือง สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปรกติสุข

     เปรียบเหมือนการจะตัดสินว่านักศึกษาที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษในชั้นเรียนแห่งหนึ่งมีความรู้ภาษาอังกฤษ "ดีพอ"หรือไม่ ถ้าใช้"เกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผล" ตามมาตรฐานของฝรั่งเจ้าของภาษามาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสิน ก็อาจประเมินให้นักศึกษาสอบผ่านแค่ 20% สอบตก 80% (โดยอาจารย์ฝรั่งจะมี"เหตุผล"มากมายที่อธิบายให้เห็นได้ว่านักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่รูภาษาอังกฤษ"ดีพอ" อย่างไร) ขณะที่ถ้าใช้ "เกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผล" ตามมาตรฐานของคนไทยมาตัดสิน อาจประเมินกลับกันโดยให้นักศึกษาสอบผ่าน 80% และสอบตก 20% (โดยอาจารย์คนไทยจะมี "เหตุผล" มากมายอีกชุดหนึ่งเช่นกันที่อธิบายให้เห็นได้ว่านักศึกษาส่วนใหญ่มีความรู้ภาษาอังกฤษ "ดีพอ" ที่จะให้สอบผ่านได้อย่างไร)

          ข้อถกเถียงในกรณีเช่นนี้มิใช่จะหาทางยุติได้ด้วย “เหตุผล” แต่เป็นเรื่องของความเชื่อที่ว่าสถาบันการศึกษาใดจะยึดมาตรฐานหรือบรรทัดฐานแบบไหน ซึ่งก็คงไม่มีใครว่าอะไรถ้าหากสถาบันการศึกษาหนึ่ง ๆ จะยึด มาตรฐานที่เข้มข้นแบบฝรั่ง หรือยึดมาตรฐานที่ผ่อนคลายแบบไทย ๆ แต่ปัญหาความขัดแย้งจะเกิดขึ้นทันที ถ้าหากในสถาบันเดียวกัน อาจารย์ใช้มาตรฐานแบบฝรั่งเพื่อประเมินนักศึกษาที่ตนไม่ชอบหน้าแล้วให้ “สอบตก” ขณะที่ใช้มาตรฐานแบบไทย ๆ ในการประเมินนักศึกษาที่ตนชื่นชอบแล้วให้”สอบผ่าน” เพราะนักศึกษาที่รู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมคงจะรวมตัวกันประท้วงการปฏิบัติของอาจารย์ที่ไม่เสมอภาคนั้น

     ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าการใช้อำนาจปฏิบัติต่อคนในสังคมเดียวกันด้วยความไม่เสมอภาคเท่าเทียมแบบสองมาตรฐาน อันขัดต่อหลัก “ความยุติธรรมในความเป็นธรรม” ตามที่รอลส์กล่าวถึง จะเป็นสิ่งบั่นทอนทำลายหลักการสำคัญ(ในโครงสร้างส่วนลึกทางสังคม) ที่จักเป็นเครื่องยึดโยงให้ผู้คนภายใต้ระบบสังคมการเมืองแบบประชาธิปไตย (หรือโลกาธิปไตย) อยู่ร่วมกันได้อย่างปรกติสุข

     หลัก “นานาสังวาส” ตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้สงฆ์ที่ขัดแย้งกันด้วย “เกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผล”ที่ยึดถือไม่ตรงกัน ให้อยู่ร่วมอารามเดียวแต่แยกกันทำสงฆ์กรรม(เพื่อมิให้สงฆ์ฝ่ายหนึ่งใช้เกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผลของตนตัดสินอีกฝ่ายหนึ่ง จนก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกไม่สิ้นสุด) แล้วให้โอกาสต่างฝ่ายต่างพิสูจน์ตัวเองด้วยความ “เสมอภาคเท่าเทียม”โดยมีพุทธบริษัทส่วนใหญ่เป็นผู้ตัดสินว่าจะเห็นด้วยกับฝ่ายไหน (แทนการที่พระพุทธเจ้าจะทรงใช้อำนาจตัดสินว่าสงฆ์ฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด)ก็คือตัวอย่างที่สงเคราะห์เข้าได้กับหลักความยุติธรรมในความเป็นธรรม” ซึ่งเป็นหลักการที่จะนำไปสู่ ข้อยุติโดยธรรม”ของการอยู่ร่วมกันอย่างปรกติสุขในสังคมมนุษย์ตามที่รอลส์กล่าวถึง

     ตราบเท่าที่ผู้กุมอำนาจในบ้านเมืองนี้ยังคงพยายามจะใช้ “เหตุผล” และ “อำนาจ” เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกแยก ของระบบสังคมการเมืองไทยด้วยความ “ไม่เสมอภาคเท่าเทียม” จนขัดต่อหลัก “ความยุติธรรมในความเป็นธรรม” (เช่นแต่งตั้งคนที่ประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างเปิดเผยมาก่อนเพื่อให้เป็นกรรมการสอบสวนเอาผิดผู้คนฝ่ายตรงข้ามตามเกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผลของฝ่ายตน แล้วเขียนรัฐธรรมนูญูขึ้นมาปกป้องกันปฏิบัติที่ไม่เสมอภาค ตลอดจนพยายามคุ้มครองรัฐธรรมนูญดังกล่าวเพื่อไม่ให้มีการแก้ไข  เป็นต้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคข้อมูลสารสนเทศที่รัฐอยากจะสามารถยึดกุมช่องทางสื่อสารได้ทุกทาง เพื่อครอบงำให้ผู้คนในสังคมเชื่อ เกณฑ์วินิจฉัยและเหตุผล” ชุดเดียวเหมือนกันหมดตามที่รัฐประสงค์จะให้ทุกคนเชื่อด้วยแล้ว ย่อมเป็นการยากยิ่งที่จะสามารถทำให้เกิด “ข้อยุติโดยธรรม”เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งแตกแยกของผู้คนในระบบสังคมการเมืองไทยครั้งนี้ได้



-----------------------------------------------------------------

น.๑๑ - ๑๖


....การเมืองใหม่ไม่เกิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้

บทความนี้ ตัดตอนมาจากหนังสือ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ การเมืองใหม่ไม่เกิด 
พิมพ์โดยบริษัทฟ้าอภัย เป็นคำบรรยายของสมณะโพธิรักษ์ในรายการโทรทัศน์สงครามสังคม ธรรมะการเมือง” ช่อง FMTV(โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ) เริ่มลงตั้งแต่ฉบับที่ ๑๓๕
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



     คนที่ไม่ติดเรื่องกาม ไม่ติดเรื่อง
ที่จะต้องไปแลกไปแย่งโลกธรรม ไม่ติดเรื่องลาภ,ยศ,สรรเสริญแล้วจริง แต่ถ้าจะได้สรรเสริญ ได้ลาภ ได้ยศ ได้วัตถุสมบัติ ก็เป็นไปได้ แต่ผู้หลุดพ้น ไม่สุขไม่ทุกข์กับกามกับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขนั้น จะไม่อยากสะสม ไม่อยากมีมาก คนเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปแย่งกาม ไม่ต้องแย่งชิงลาภ แย่งชิงยศ แย่งชิงสรรเสริญ แย่งชิงโลกียสุขเพราะงั้นเวลาที่เหลือก็จะเอามาสร้างสรรค์ทำงานทำการอะไรได้เยอะแยะเลย เอาแรงงานคืนมา เอาแรงงานคืนมา เอาเวลาคืนมา เอาทุนรอนคืนมา แล้วก็เอาแรงงานเวลาทุนรอนมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์

     ยิ่งตนเองรู้แล้ว ประพฤติปฏิบัติแล้ว ยิ่งไม่ต้องไปหลงสุขหลงทุกข์ตั้งแต่โลกต่ำๆมาอย่างที่อาตมากล่าวแล้ว คนนี้ก็ไม่ต้องไปเสียเวลา-แรงงาน-ทุนรอนอะไร เพื่อใช้บำเรอตนเพราะมีสุขที่สงบจากิเลสต่างๆนั้นแล้ว มีจิตสันโดษ..จิต”พอ”แล้ว คนอื่นเขามี ก็เห็นก็รู้ว่าเขามี ไม่ได้ริษยา คนเขาหลงก็รู้ว่าเขาหลง เขายังติด เขาพากันหลงติดหลงเสพก็เรื่องของเขา แต่เราไม่ได้หลงติดเราก็ไม่ต้องไปขวนขวาย ไม่ต้องไปเสียแรงงาน ไม่ต้องไปเสียเวลา ไม่ต้องเสียทุนรอน คนที่เขามีสุขมีทุกข์กับมันอยู่ เขาก็มีไป เขาก็เสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอนกับมันไป โลกสังคมก็จะปรุงแต่งยั่วยวนกันขึ้นมาให้มันจัดจ้านยิ่งๆอีกก็เรื่องของเขา บ้าๆบอๆกันไปยังไง คนหลงเขาก็หลงกันไปหลอกกันไป แต่เราหลุดพ้นจากความหลอกอันนั้นแล้วไม่ต้องมีสุขัลลิกะตามเขาแล้ว คนนี้หลุดพ้นจริงๆ ไม่ต้องหนีจากลาภยศสรรเสริญโลกีย์พวกนี้ ยังสัมพันธ์อยู่กับมันได้ เพราะมีปัญญามีความรู้ความเข้าใจ รู้เท่าทันโลกโลกีย์เหล่านี้ดีแล้ว เป็นโลกวิทู รู้จริง รู้ความจริงว่าชีวิตของมนุษย์นั้นถ้าเป็นคนช่วยโลกนี้สุดประเสริฐ (โลกานุกัมปา)และเป็นคนมีจิตใจแข็งแรง จิตนี้เป็นโลกุตรจิต  จิตอยู่เหนือโลกียะนั้นๆจริง  อยู่เหนือโลกียะนั้นๆจริง   อยู่เหนือลาภ,ยศ,สรรเสริญ,โลกียสุขได้แล้ว เพราะกิเลสลดจริงถึงขีดถึงขั้น ที่สุดเป็นคนไม่มีกิเลส เป็นคนไม่เป็นทาสได้แล้วสัมบูรณ์ จึงไม่จำเป็นจะต้องมีเงินไปจับจ่ายกับสิ่งเหล่านั้นมาสุข  จึงไม่ต้องเป็นทาสเงิน ทุกวันนี้นี่เงินเป็นใหญ่  คนที่ยึดติดเงินซะจนไม่กล้าที่จะไม่มีเงิน  หรือไม่กล้าจนไม่กล้าเป็นคนจน จึงเข้าใจความรู้สึกที่เป็นคนจนก็เป็นสุข” นี้ไม่ได้ หรือเข้าใจผิดในเรื่องนี้อยู่มิจฉาทิฐิอยุ่ เข้าใจผิดอะไร เข้าใจผิดว่า ไม่มีเงินนี่มันอยู่ไม่ได้ ขอยืนยันว่าอยู่ได้ และสุขีด้วย
จะเป็นการเมืองใหม่ได้  เงินจะต้องไม่เป็นใหญ่

     เพราะงั้นต้องเรียนรู้ให้จริงเลยว่า เงินคือเครื่องใช้ชนิดหนึ่ง  เหมือนถ้วย  เหมือนชาม หรือเครื่องใช้ต่างๆ  จริง...เงินมันก็สำคัญในยุคนี้ยุคสมัยโบราณนั้นเงินเรื่องเล็ก  เขามีการอยู่กันอย่างเกื้อกูลกัน  แบ่งกันไป  แบ่งกันมา  แลกกันไปแลกกันมา เอาข้าวของผลผลิตสินค้าอะไรก็แลกกันไปมา  ไม่ได้คิดของใครมากขของใครน้อยไม่ได้คิดกลัวว่าคุณได้เปรียบ-เสียเปรียบอะไรต่ออะไรต่ออะไรมาก ไม่หรอก แต่สมัยนี้นี่โอ้โห...คิดเล็กคิดน้อย ได้เปรียบ-เสียเปรียบอะไรกัน   ว่ากันให้ยุ่งกันไปหมด  คิดราคาส่วนนั้นส่วนนี้แล้วก็หาทางคิดเอาเปรียบกันซับซ้อนแสนสาหัส *
     สรุป คนที่เห็นแก่เงิน ถือเงินยึดเงินเป็นที่ พึ่ง ไม่ยึดสมรรถนะ ของตน ไม่ยึดความขยันของตน เป็นที่พึ่ง ไม่สร้างสมรรถนะ ไม่สร้างความขยัน แล้วก็กล้าที่จะ “จน” โดยไม่ต้องสะสมไม่ต้องกอบโกย ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่ประพฤติตนกระทั่งบรรลุธรรมอย่างนี้ คนนั้นแก้ไขอะไรไม่ได้ ขอยืนยัน เพราะงั้นการเมืองใหม่ ที่จะเกิดนี้จะต้องมีคนชนิดนี้ คือคนที่มีอิสระเสร็จจากการเป็นทาสในอบายมุข - โลกธรรม-กามคุณ และอัตตา จึงพ้นจากวัฏสงสารไปตามลำดับ ไม่ต้องวนเวียนเป็นทาสเอามาบำเรอให้กับตนอีก มีความเป็น “ไท”ได้อย่างอิสระเสรีสัมบรูณ์ที่สุด อันติมะที่สุด

          นี่ก็เป็นประเด็นสำคัญที่แสดงถึงความเป็นประชาธิปไตย
          จะทำอย่างไรจะมาสร้างคนให้เป็นคนเช่นนี้ได้ ถ้าสร้างคนเช่นนี้ได้ เป็นคนที่มีคุณธรรมคุณภาพแบบที่อาตมากล่าวนี้ได้การเปลี่ยนแปลงของสังคมมนุษยชาติในประเทศจะเกิดขึ้น ประเทศไทยมีคำสอนมีทฤษฎีอันนี้อยู่แล้ว ของพระพุทธเจ้า มาช่วยกันศึกษามาช่วยกันเอาอันนี้ออกมาเผยแพร่ คนจะเผยแพร่ได้ก็ต้องพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้าให้ได้ในตนเอง  แล้วจึงสอนคนอื่นจะมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าสอนคนอื่นทว่าตนเองยังเป็นไม่ได้นี่  ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพหรอก

          ทฤษฎีสำคัญของศาสนาพุทธก็ว่าไว้อย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มีมากมาย จะเห็นได้ว่า ไทยกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคม  อาตมาขอยืนยันนะว่า ศาสนาพุทธเป็นประชาธิปไตยที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะเป็นศาสนาที่ปลดแอกให้อิสระเสรีแก่มวลมนุษยชาติสัมบูรณ์จริงแม้แต่ “อัตตา” ของตนเองก็ไม่เป็นทาสตนเองและเป็นศาสนาที่มุ่งประโยชน์เพื่อปวงประชาชน อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหัวใจของประชาธิปไตย ทั้งนั้นและศาสนาพุทธจะไมเป็นประชาธิปไตยอย่างไร คนไทยเป็นชาวพุทธถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ เพราะ ฉะนั้นก็ควรที่จะมาเอาของดีที่ไทยเรามีอยู่แล้วนี้ฟื้นกันขึ้นมาให้เป็นสัมมาทิฐิ  อย่าไปหลงแต่วิชาการของต่างประเทศเขานัก  ไม่ได้ลบหลู่วิชาการของต่างประเทศเขานะ แต่ว่าของพระพุทธเจ้านี่ก็ไม่ใช่ของด้อยไม่ใช่ของที่จะต้องดูถูกดูแคลน

          แต่อาตมาว่าคนไทยใกล้เกลือกินด่าง ทิ้งของพระพุทธเจ้าไปซะนานที่จริงไม่ทิ้งหรอก แต่เข้าใจศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไป มิจฉาทิฐิไป ใครจะว่าอาตมานั้นแหละที่มิจฉาทิฐิ หลงผิดใน ศาสนาพุทธ จนกระทั่งใส่ความอาตมา หาว่ามาทำลายศาสนา มาทำลายพุทธอะไรก็แล้วแต่ ก็แน่นนอนที่เขาต้องเข้าใจอย่างนั้น เพราะมันเข้าใจต่างกันแล้วจริงๆ จึงอยู่ที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ความจริงกัน ถ้าอาตมาผิด มิจฉาทิฐิจริง คนที่มาปฏิบัติกับอาตมาก็ย่อมมืดบอดจนไม่รู้ได้ว่า มรรคผลเป็นอย่างไร? แต่นี่เขาก็เห็นผลกันว่า ผู้บรรลุมรรคผล จะเป็นคนเช่นไร? จะตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไหม ?


---------------------------------------------------------------------------------------
*ทิศทางเงินใหญ่มหันตภัยของโลก : นพ.ประเวศ วะสี
          มหาวิกฤติเศรษกิจโลง ซึ่งเป็นเรื่องหนีไม่พ้น จะทำโลกกลับลำ แต่ประเทศไทยจะกลับลำได้ก่อน ทิศทางที่โลกหลงไปคือ ทิศทางเงินใหญ่ (Big Money Direction) หรือมหาธนาลัย ได้นำโลกไปสู่สงครามความขัดแย้งแย่งชิง และการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เมื่อประเทสไทยรับเอาแนวทางเงินใหญ่เข้ามาใช้ก็เกิดผลอย่างเดียวกัน ทำให้คนไทยขัดแย้งแย่งชิง ศีลธรรมเสื่อมทรามลง และเมื่อเงินใหญ่เข้ามายึดอำนาจทางการเมือง การเมืองก็เบี่ยงเบนไปจนวิกฤติ
          มหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก จะมาทำให้ประเทศไทยหันกลับไปสู่เศรษฐกิจจริง ถ้าเราพัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานที่ทุกคนพอกินพอโช้ สร้างความเป็นธรรมจากทุกๆด้าน แล้วเราจะดีกว่าสวิตเซอร์แลนด์อีกครับ อะไรที่สวิตเซอร์แลนด์ดีเราทำได้ แต่สิ่งที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่มีคือพื้นฐานทางพระพุทธศาสนา
----------------------------------------------------------------------------------------

(น.๑๗-๒๑)
คอลัมภ์ : รอบบ้านรอบตัว
โดย อุบาสก ชอบทำทาน


 อำมาตยาธิปไตย : ทุนนิยมสามานย์ : นักการเมืองชาติชั่ว


ความคิดบวก

ปรากฏการณ์เสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อน้ำเงิน เสื้อขาว เสื้อไม่เอาความรุนแรง ณ พ.ศ.๒๕๕๓ ถือเป็นนิมิตใหม่ของการเมืองใหม่ เป็นยุคที่คนไทยตื่นตัวทางการเมืองสูงสุด ! เหตุการณ์ของบ้านเมือง การต่อสู้ ทางความคิด การเดินขบวน การก่อการร้ายการก่อวินาศกรรม การใช้กำลัง การมีหุ่นเชิด การมีคนชักใย ฯลฯ กิจกรรมของแต่ละฝ่าย คือส่วนผสมของน้ำพริงอันแสนอร่อย... การเมืองใหม่ ! การเมืองที่ประชาชนสนใจผลประโยชน์ของประเทศชาติ สนใจพฤตกรรมของนักการเมือง การเรียกร้องประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวไม่มียุคใดจะเร้าใจยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว



ประวัติศาสตร์การเมือง

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี ๒๔๗๕ ประชาชนหยิบมือเรียกตัวเอง ‘คณะราษฎร์’ ขอบริการจัดการแทนพระมหากษัตริย์ เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาบริหารจัดการบ้านเมือง จนเกิดประชาชนสายพันธุใหม่ ‘นักการเมือง’ เป็นอีกชนชั้น เข้ามาควบคุม’ข้าราชการ’ ซึ่งทำงานต่างพระเนตรพระกรรณทุกหัวมุมเมือง คำว่า ’ข้าของงานราชะ’ จึงเป็นคำยกย่องให้เกียรติสถาบันกษัตริย์... “อย่าลืมว่าเราข้าราชการ ต่างทำงานให้แก่พระมหากษัตริย์ ของให้ตระหนักและสำนึกให้มาก...” แต่โดยข้อเท็จจริง ยุคเปลี่ยนผ่านอำนาจประชาชนสายพันธุ์ ‘นักการเมือง’ เป็นผู้ควบคุมข้าราชการทั้งหมด โดยมีรัฐบาลเป็นผู้กำกับดูแล แม้สถาพันกษัตริย์จะได้รับการเคารพยกย่องสูงสุด แต่กลับไม่ได้สร้างอำนาจแทรกแซงหรือถ่วงดุลย์อำนาจรัฐบาล ทรงเน้นงานด้านพัฒนาเป็นหลัก เป็นผู้เสริมและสนับสนุนให้ประชาชนพ้นจากความยากจน หากรัฐบาลจะมีน้ำใจ เดินตามสานต่อสิ่งที่สถาบันกษัตริย์กระทำ คนไทยก็คงไม่ยากจนข้นแค้นขนาดนี้ !



คำแก้ตัวของทุนสามานย์

ยุคอดีตนายกฯทักษิณพำนักที่ดูไบ คำพังเพยที่ตอบโต้กันในประเทศไทยมีอยู่วลีหนึ่ง “ถึงจะเป็นทุนสามานย์ แต่ก็ยังดีกว่าอำมาตยาธิปไตย !”
ยุคทักษิณครองเมือง เป็นยุคที่นายทุนเข้ามาบริหารจัดการประเทศมากกว่ายุคใดๆ ทุนนิยมเขาจะโกงกินสารพัด เล่นพวกเล่นญาติพี่น้อง แต่เห็นมั้ย เศรษฐกิจบูม คนรากหญ้าได้รับการดูแลยิ่งกว่ารัฐบาลยุคใดๆ นี่แหละ ทุนนิยมสามานย์ ถึงจะชั่วร้ายแต่ก็ทำประโยชน์ให้กับพี่น้องมหาศาล แล้วอำมาตยาธิปไตยที่ผ่านมาทำอะไร ? เรื่องจริงยิ่งกว่านิยายในกระทรวง “ชนชั้นใดย่อมรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนั้น” เป็นสัจจะความจริง คงทนต่อการพิสูจน์มาตลอด งานบริหารในทุกกระทรวง มีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ แย่งชินผลประโยชน์มาตลอดระหว่าง ‘ข้าราชการ’ (ตัวแทนอำมาตยาธิปไตย) กับประชาชนสายพันธุ์ ‘นักการเมือง’ ผลัดกันมีอำนาจ ผลัดการเพลี่ยงพล้ำ ยุคที่นักการเมืองอ่อนแอ ข้าราชการก็จะชี้นำควบคุมกลไกทั้งหมด เกิดผลการทำงานเชิงรับ กินเงินเดือนไปวันๆ คนตั้งใจจะท้อแท้สุดท้ายก็ไปอยู่บริษัทเอกชน จนเรียกกันว่า’สมองไหล’ ยุคที่นักการเมืองเข้มแข็ง (จะเกิดน้อยครั้ง) ข้าราชการที่มือไม่พ่ายฯ ก็จะถูกขจัดออกไป ด้วยวิธีการต่างๆ กฎระเบียบที่คอยขัดขวางการทำงานเชิงรุก โละทิ้ง สร้างใหม่ กฎระเบียบที่ดีต้องเอื้อการทำงานเชิงรุก เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

ยุครัฐบาลทักษิณนับเป็นแสงทองผ่องอำไพทีเดียว ที่ข้าราชการถูกควบคุม ถูกกำกับดูแลจนถึงขั้นถูกรุกราน ! งานบริหารแผ่นดินที่มีกฎระเบียบปิดกั้นถูกทะลุทะลวงจนหมดสิ้น น่าจะเป็นยุคประชาชนเป็นใหญ่ได้ทีเดียวแต่ทว่ารัฐบาลชุดนี้กลับนำพลังมหัศจรรย์หาผลประโยชน์ใส่ตัว แบ่งกันกินอย่างมูมมาม แก้กฎหมายเพื่อพวกพ้อง แก้นโยบายเพื่อเปิดทางให้กฎหมายที่เอื้อพวกพ้อง จัดการองค์กรอิสระให้เข้ามาอยู่ในสังกัด หาเสียงด้วยการแจกงบประมาณแผ่นดินมากมายเสียยิ่งยุคใดๆ กฎระเบียบกฎเกณฑ์ที่เป็นความถูกต้องเป็นคุณธรรมจริยธรรม ถูกฉีกทิ้งด้วยข้ออ้างความคิดเชิงนอกกรอบในระบบบุมเมอแรง ! ทุกอย่างน่าจะดูดี ถ้าไม่วกมาเรื่องผลประโยชน์ของวงค์ตระกลูรัฐบาล !



ทุนนิยมสามานย์จริงๆ

ระบบเศรษฐกิจโลกลัทธิทุนนิยมรุกรานผู้อ่อนแอกว่า ภายใต้แนวคิด ‘ปลาใหญ่ต้องกินปลาเล็ก’ ‘ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่จะยืนหยัดอยู่ได้’ ทุนนิยมเน้นการผลิต ด้วยการกระตุ้นให้บริโภคโดยมีเป้าหมายที่ผลกำไร เพราะเหตุนี้ทุนนิยมจึงทำลายชีวิตประชาชนที่อ่อนแอ และสร้างคนรุ้นใหม่ให้พึ่งตนไม่ได้ ต้องแบมือขอความช่วยเหลือจากเจ้านายหรือเจ้าของกิจการ ซึ่งมิใช่แนวทางเศรษฐกิจพึ่งตนแต่อย่างใด ระบบทุนนิยมทำให้คนเมืองหลงใหลการบริโภค และผูกพันกับการหา ‘เงิน’ ตลอดชีวิต ไม่มีเงินก็เหมือนหมาตัวนึงใช่ไหม ? ระบบทุนนิยมทำให้ชนบทล่มสลาย การหวว่านล้อมให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทั้งภาครัฐและเอกชนช่วยกันย่ำยีซ้ำเติมจนไม่มีชิ้นดี เกษตรกรเป็นหนี้สินรุงรังทั่วแผ่นดิน ! ระบบทุนนิยมาก่อเกิดระบบอุตสาหกรรมเน้นการผลิต การแสวงหาวัตถุดิบมหาศาลทรัพยากรของโลกร่อยหรอ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ฯลฯ ประชาชนอดอยากด้วยค่าแรงถูกมาก คนงานตกงานก็ไม่มีปัญญาพึ่งตนเองต้องคอยหางานเป็นลูกจ้าง เป็นกรรมกร ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน ตายอย่างเขียดจริงๆ รัฐบาลชุดทักษิณเป็นรับบาลชุดนายทุนเบ็ดเสร็จ ทุกคนมีกิจการมากมาย การเลือกตั้งรัฐมนตรีมิใช่ความสามารถ แต่อยู่ที่ใครจะลงทุนลงขันให้พรรคมากกว่ากัน เป็นรางวันที่พรรคมอบให้ แต่เป็นการตบหน้าประชาชนที่แท้จริง ! เพราะเหตุนี้งบประมาณที่แจกลงในชนบทจึงเป็นเพียงสร้างอำนาจการซื้อของที่บริษัทผลิตของ ก็คือบริษัทของคนในรัฐบาลทั้งสิ้น ! ยิงปืนนัดเดียวได้คะแนนเสียง ได้ความจงรักภัคดี และได้เงินย้อนกลับมา !



ตำนานศึกสามเส้า

เมื่อทหารเป็นใหญ่ ประเทศชาติยังเป็นเผด็จการ การบริหารบ้านเมืองจึงเป็น ข้าราชการ+ขุนศึก โดยมีนายทุนเป็นอีแอบ เมื่อบทบาททหารลดก็จะได้สูตรข้าราชการ+นักการเมือง โดยมีขุนศึกนายทุนเป็นอีแอบ เมื่อประชาธิปไตยเบ่งบาน สูตรก็จะขยับเป็น ข้าราชการ+นักการเมือง (ประชาชน+ขุนศึก+นายทุน) เมื่อประชาธิปไตยแบ่งบานขึ้นอีก ระบบเศรษฐกิจ ความเติบโตทางเศรษฐกิจถูกอ้างกันพร่ำเพรื่อ สูตรบริหารก็จะป็น ข้าราชการ+นักการมือง (ที่เป็นนายทุนมากขึ้น) เมื่อนายทุนส่วนใหญ่เป็นรัฐบาล เราก็จะได้ตัวเลขเศรษฐกิจ GDP สวยหรู สินค้าส่งออกได้เยอะ ผู้คนจับจ่ายอุตลุด นายทุนกิน ๓ ต่อเข้าฮอร์ส



แพะรับบาปอำมาตยาธิปไตย

นักการเมืองที่ทุมเทสติปัญญาเพื่อชาติบ้านเมือง ประชาชนย่อมอยู่ดีมีสุข แต่หากคิดแต่แสวงหาผลประโยชน์ ทำเนียบรัฐบาลกระทรวงใหญ่น้อย ก็คือ บริษัทเอกชนที่เข้ามาขอยืมสถานที่ประกอบกิจการโดยไม่เสียค่าเช่า ! ระบบอำมาตยธิปไตยถูกกล่าวหาว่า เป็นระบบที่สร้างความยากจนให้คนไทย ทั้งถ่วงทั้งดึงทั้งทิ้งสารพัด แต่ความจริงแล้วระบบอำมาตยาธิปไตยเปลี่ยนผู้บริหารจัดการมาตลอด โดยประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่ผลัดกันเข้ามาบริหารที่เรียกตัวเองว่า ‘นักการเมือง’ เราจะเปลี่ยนชื่อข้าราชการเป็นอะไรก็ตาม ก็เป็นเพียงบุคลากรที่ทำงานประจำตามกระทรวงต่างๆ แต่ ‘นักการเมือง’ ที่เข้ามาควบคุมดูแล หากไม่แสวงหราผลประโยชน์ประเทศชาติ จะเจริญรุ่งเรืองกว่านี้มากมาย



บทสรุป

ประชาชนสายพันธุ์ ‘การเมือง’ คงต้องค้นหากลุ่มใหม่ ที่ไม่มี DNA เลือดชั่ว ที่คิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ญาติพี่น้องตัวเองเพื่อนฝูงตัวเอง ค้นหา DNA เลือดดี โดยช่วยกันคิดระบบคัดกรองนักการเมืองใหม่ คงไม่ยากหากร่วมมือกันคิดอย่างจริงจัง

(น.๒๒ – ๓๑)

คอลัมภ์ : ปิดทองหลังพระ                                                
โดย : พุทรากวน

‘พอเพียง อย่างเพียงพอ ‘
ภาณุ พิทักษ์เผ่า

          “เศรษฐกิจพอเพียงต้องจับต้องได้คือไม่ให้ชาวบ้านต้องเป็นทาสของสารเคมีทำให้ชาวบ้านถูกย่ำยีความเป็นมนุษย์ ไม่ได้เป็นเกษตกรอีกต่อไป แต่เป็นกรรมกรของทุนนิยม “

     เป็นคำกล่าวของคุณภาณุ พิทักษ์เผ่า เมื่อถูกถามถึงทำไมถึงเลือกที่จะทำงานกับชาวบ้านแทนที่จะเป็นอาจารย์สอนหนังสือใมหาวิทยาลัย
          กติชาวอโศกทำงานในองค์กรในชุมชนของเรา เป็นรูปแบบที่ใครๆก็รู้จัก แต่กรณีของผมเป็นชาวอโศกที่ไปสร้างเครือข่ายกับในชุมชาคมสงขลา ที่มีทั้งนักวิชาการ ข้าราชการเอ็นจีโอ องค์การชาวบ้าน เป็นความหลากหลายว่า อโศกทำงานหลายรูปแบบ ผมไปก่อตั้งสมาคมเกษตรอินทรีย์วิถีไทย ซึ่งมีสมาชิกอยู่สองพันกว่าคน คือคนที่ผ่านกระบวนการของเราแล้วชีวิตเปลี่ยน คือลด เลิก ละ อบายมุข เรามีเกษตกรต้นแบบที่ไม่มีอบายมุขหรือสารเคมีและสนุกกับการช่วยเพื่อน ในรูปแบบที่ผมทำมีทั้งพุทธและอิสลาม ในกระบวนการเรียนรู้ของเรามีการเรียนรู้ทั้งเรื่องศาสนาพุทธก็เขาเรียนพุทธ ใครนับถืออิสลาม เข้าศึกษาอิสลาม

     ชาวอโศกที่อยู่ตามจังหวัดต่างๆ เราสามารถสร้างพลังของการขับเคลื่อนในนามของชาวอโศก  ซึ่งอันนี้ทำให้สังคมได้รู้จักชาวอโศกในอีกแง่มุมหนึ่ง และในรูปแบบที่เราอยู่ในชุมชนก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

     ผมลาออกจากราชการปี ๒๕๓๐ ครองครัวนักศึกษาที่อยู่ในชุมชนเขาลงมาเยี่ยม ปรากฎว่าไม่มีครอบครัวไหนที่ไม่เป็นหนี้ มีแต่หนี้ ไม่มีความสูข ก็คดแล้วคิดอีกว่าต้องลาออกดีกว่า เพราะเป็นครูบาอาจารย์ก็ไม่มีความหมายอะไร

         ผมสอนอยู่ที่คณะศิลปกรรม เทคโนโลยีที่โคราช ลาออกแล้วมุ่งมั่นไปเป็นเกษตรกรเสียเอง เพื่อพิสูจน์ว่าแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวมันไปได้จริง เรียกได้ว่าเป็นความใฝ่ฝัน เป็นความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตให้มีค่า เพราะรู้สึกว่าการเป็นครูสอนหนังสือนี่ชักจะไร้ค่า มันไม่มีความหมายเท่าที่ควร อยู่ไปก็ยังงั้น มีแต่ความสุขสบาย ความมั่นคงส่วนตัว ตอนผมลาออกนี่ผมไม่มีบำนาญอะไรเลยนะ อีกสักปีก็คงได้บำเน็จแต่เราไม่ต้องการ สิ่งนั้นไม่มีความหมายความใฝ่ฝันก็คืออยากไปร่วมสร้างเครือข่ายองค์กรการเกษตรที่พึ่งตนเองได้ เป็นอิสระ ที่ไม่มีความรู้สึกว่าถูกบีบคั้น เป็นไทแก่ตัว ตอนนั้นปฏิบัติธรรมแล้ว คือเข้าใจแล้วว่าแนวทางที่พ่อท่านบอก ว่าการมอบตนในทางที่ผิดแม้แต่อาชีพข้าราชการนี่นะ รู้เลยชัดเลยว่าใช่ ในช่วงที่กำลังเตรียมตัวจะก้าวสู่เส้นทางใหม่นั้นวันนั้นได้รับการติดต่อให้ไปช่วยคุณจำลอง (ศรีเมือง) อยู่ช่วงหนึ่ง เป็นช่วงที่ไม่ได้คาดฝันนะว่าชีวิตมันจะเป็นแบบนั้น แต่ก็เป็นเรื่องดี พอมาทำงานการเมืองก็มาเห็นเกษตกรทิ้งแผ่นดินมาตายดาบหน้าอยู่ในกรุงเทพฯ มาอยู่ใต้สะพานลอย ความเป็นอยู่แย่มาก ถามว่ามาทำไม อยู่นอกชนบทอากาศดีกว่า อะไรก็ดีกว่าเยอะเลยนะ เขาบองเขาอยู่ไม่ได้ อาชีพเกษตรกรล้มเหลว อย่างสิ้นเชิง นั่นหมายถึงต้นทุนการผลิตสูง ปลูกอะไรแล้วถูกกดราคา ก็คือซ้ำซาก ผมไปพบผู้นำชมชน ไปเกือบทุกวัน ลงพื้นที่ ก็มีปัญหาอย่างนี้ แล้วยิ่งท้าทายความรู้สึกว่า เราต้องวางมือทางการเมือง เพราะงานการเมืองไม่ใช่งานที่ยั่งยืน มันเป็นงานเฉพาะหน้า (ที่ไปช่วยคุณจำลองในขณะนั้น)

         ในที่สุดผมก็วางมือ ลาท่านเพื่อไปตามความฝันที่จะไปแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกร ตอนไปช่วยบุกเบิกที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี ทำเกษตรไร้สารพิษอยู่ ๔-๕  ปี   ก็ลงใต้ซึ่ง เป็นบ้านเกิด เพราะรู้สึกว่า ภาคอีสานเราอยู่มานานแล้ว  ส่วนที่ กทม. ก็พอสมควร ในการร่วมช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ชมชนแออัด ฯลฯไปอยู่ที่ภาคตะวันตกอยู่หลายปี  แผ่นดินแม่ก่อนตายเราน่าจะได้มีโอกาสตอบแทน การลงไปใต้ก็คือการไปสร้างเครือข่าย เพราะเวลาเราเปิดเวทีชาวบ้านหรือเกษตรกรด้วยกัน เราจะพบที่มาของความทุกข์ในเกษตรเคมีวิถีทาส การจะให้หลุดพ้นไปจากพันธนาการที่ว่า เราก็ต้องสร้างเครือข่ายที่เป็นอิสระ และนี่คือที่มาของเกษตรอินทรีย์วิถีไทย

          พ้นจากความเป็นทาสก็คือความเป็นไท ผมก็ต้องไปเริ่มต้นด้วยตัวเอง ไปแก้ปัญหาให้เราต้องเป็นเกษตรกรให้ได้ คือเราลงมือทำ ไม่ใช่คิดเอา ไปยืนเอามือล้วงกระเป๋าหรือไปจ้างใครมาทำ เกษตรกรอย่างนี้ก็เยอะนะ แบบยืนทำ นั่งทำ แต่ผมก็แบกน้ำ หาบน้ำ ไม่เคยทำมาก่อนเลยนะ เพราะพ่อแม่ไม่เคยเป็นเกษตรกร แต่คิดว่าถ้าจะช่วยเขา เราต้องเข้าใจความทุกข์ยากเข้าใจเลยนะว่าอาบเหงื่อต่างน้ำคืออะไร ก็ต้องตื่นแต่ตี ๓ เดินขึ้นเขาไปปลูกและดูแลต้นไม้จนบ่าย ๓ โมงจึงได้กินข้าวมื้อแรกของแต่ละวัน จนชาวบ้านเขาแปลกใจว่ามันทำหนักมากกว่าเขาเสียอีก มันพิสูจน์ตัวเองว่า เราน่ะจริงไหม เราพร้อมไหมล่ะ การออกจากงานก็เป็นการพิสูจน์นะเพราะไม่มีบำเหน็จให้ชาวบ้านพูดได้ว่าเรามีทุนอยู่แล้ว แต่ผมเหมือนทุบหม้อข้าวตัวเอง ไปก่อร่างสร้างทุกสิ่งทุกอย่างเอง ไม่มีเครื่องทุนแรงนอกจากแรง จนได้รับคัดเลือกเป็นเกษตรกรตัวอย่างเมื่อปี ๒๕๔๒ คือตอนนั้นผมเริ่มสร้างเครือข่ายเกษตรกรก่อนจะมาเป็นสมาคมอย่างในปัจจุบัน คุณสมบัติของสมาชิกข้อหนึ่งว่า ต้องเป็นอิสระ ต้องเป็นไท ไม่มีอบายมุข ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ไม่เล่นการพนัน ไม่ใช่แค่ไม่ใช้สารเคมีนะ เราต้องอิสระ เพราะเราต้องหลุดพ้นจากพันธนาการเพื่อให้เกษตรกรด้วยกันเห็นว่านี่คือทางรอด นี่คือทางออก

          จากความเป็นเครือข่ายเราจึงจำเป็นต้องพิสูจน์ เรียนรู้ เพื่อหลอมความคิดให้คนไปในทางเดียวกัน นี่เป็นที่มาว่าเราจะต้องมีระบบให้คนเข้าใจอย่างเดียวกัน และหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ว่านั้นให้ได้

          การทำร้านอาหารก็เป็นการสร้างตลาดเพื่อรองรับ เราจะไม่ไปหาตลาดเพราะเป็นการเข้าหากับดัก เป็นค่ายกล คือมันเป็นผลประโยชน์ว่าคุณจะให้เท่าไหร่ต้องเข้าไปหาความเห็นใจเพราะพ่อค้าเป็นผู้ยื่นข้อเสนอ ชี้เป็นชี้ตาย ทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยเหนื่อยเลย ไม่เคยรู้ว่าความทุกข์ยากเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องสร้างตลาดของตัวเอง อย่างเป็นธรรมและยั่งยืนให้ผู้ผลิตได้ราคาและอยู่ได้จริง เขาจะได้มีกำลังใจผลิตอาหารให้คนบริโภคสำหรับผู้รักสุขภาพ ส่วนราคานั้นต้องเป็นธรรมด้วย คือต้องให้คนจนเข้าถึงอาหารที่ปลอดจากสารพิษ และปลอดภัยได้ ไม่ใช่แต่คนรวย คนชั้นกลางซื้อได้ แต่คนจนหมดสิทธิ์ (เป็นการตีกลับว่าคนจนเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่พ่อค้า)

          ยกตัวอย่างเช่น ช่วงมีนาฯ เมษาฯ เรามีแตงโมไร้สารพิษซึ่งราคาขายปลีกเราขายเท่ากับแตงโมมีสารพิษเลย ไม่ใช่ฉวยโอกาสว่าผลผลิตดีแล้วจะต้องราคาสูง เราขายในราคาเดียวกัน สิ่งที่ประชาชนได้กำไรคือ จ่ายเงินเท่ากันแต่ได้คุณภาพที่ดีกว่า ทีนี้ถามว่าเกษตรกรได้อะไร ผมนี่ทำให้เกษตรกรไม่ต้องถูกคนกลางเอาปรียบ อย่างแตงโมไร้สารพ่อค้าซื้กิโลละ ๕ บาทแต่ผมให้เกษตรกรทำได้กิโลละ ๑๐ บาท เท่าตัวเลย ไปถึงตลาดราคา ๑๒ บาท เท่ากับราคาขายปลีก ส่วนต่าง ๒ บาท เป็นการบริหารจัดการ เป็นค่าขนส่ง น้ำมัน เกษตรกรควรได้มาก อันนี้พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ พูดเลยว่าผู้ผลิตต้องได้มากกว่า เพราะเขาเหนื่อย ลำบาก แล้วผมไม่ได้ทำหน้าที่พ่อค้าคนกลาง แต่ทำหน้าที่ประสานให้เกิดการตลาดที่เป็นธรรม เช่นการสร้างสภาความร่วมมือด้านอาหารปลอดภัย สภานี้จะให้คนกินกับคนปลูกได้พบกัน คนกินสามารถเห็นหน้าว่า อ้อ...นี่เป็นคนปลูกแตงโมให้เรากินทุกปี คนนี้ปลูกผัก คนนี้ปลูกส้ม ฯลฯ และใรกิจกรรมไปเยี่ยมสวน เยี่ยมแปลง เกิดความสัมพันธ์ที่สนิทสนม เป็นพี่น้อง เห็นหน้าค่าตา และมีโอกาสได้พบกันทุก ฤดูกาล นี่คือสภาให้ความร่วมมืออาหารปลอดภัย คือนึกถึงภาพว่าทุกคนยื่นมือเข้ามาจับกัน

         เมื่อก่อนผู้ผลิตก็ไม่รู้จะไปขายที่ไหน คนกินก็ เอ๊ะ เราจะไปซื้อที่ไหนอาหารที่ดีๆและปลอดภัย หรือปลอดภัยจริงหรือเปล่า มันต่างฝ่ายต่างคิดต่างทำสภาความร่วมมือก็มานั่งโต๊ะ มาคุยกันเลยว่าคุณอยากจะกินอะไรต้องการอะไร ฉันจะผลิตให้ ผู้บริโภคก็รำพันถึงความทุกข์ พี่น้องผองเพื่อนฉันเป็นมะเร็งทะยอยตายที่ละคนสองคน ฉันก็ไม่อยากเป็นอย่างนั้น ก็เป็นการปรับทุกข์ในหมู่มิตรว่าเป็นไปได้ไหมว่าปลูกพืชผักให้เรากินอย่างปลอดภัย และเราก็จะให้ราคาที่เป็นธรรม มันเป็นการเกื้อกูลกันนะ ว่าเกษตรกรก็ไม่ถูกเอาเปรียบ ผู้รักสุขภาพ ผู้บริโภคก็มีความรู้สึกว่ามีความมั่นคงทางอาหารบรรยากาศอย่างนี้มันน่าจะสร้างให้เกิดในสังคม ตัดพ่อค้าคนกลางออกไป ไปรับออเดอร์มาจากผู้บริโภค แล้วก็ไปบอกคนปลูกว่า ผมรับซื้อในราคาเท่านั้นๆ มันขาดพลัง มันขาดจิตวิญญาณน่ะสภาความร่วมมือที่ว่าก็นำมาสู่การแก้ไข สู่การขับเคลื่อน ทำให้ผู้ผลิตเกษตรกรและผู้บริโภครับบริการที่อยากได้ผลผลิตดีๆ เช่น โรงพยาบาลมีผู้ป่วยโรคร้ายต้องการผลผลิตที่ปลอดภัย เราก็สามารถทำงานร่วมกันได้ เกษตรกรก็มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีคุณค่าในฐานะผู้ผลิตอาหารให้ผู้ป่วยเขาก็บอกกับเพื่อนบ้านได้ว่าผักที่ปลูกนี่ส่งให้โรงพยาบาลด้วยนะ
                   
                    “ก่อนที่จะให้เกษตรกรไปสร้างสุข เขาต้องเห็นทิศทางที่จะทำให้ชีวิตพอเพียงและพึ่งตนเองได้ 
    โรงพยาบาลเองก็มีสหกรณ์สุขภาพ ผมก็พาชุมชนไปทัวร์ เป็นทัวร์เกษตรเพื่อสุขภาพ แล้วเรามีสถานีวิทยุที่เราสามารถฟังได้ไกลทั้งสงขลาและใกล้เคียง มีคลื่นสุขภาพทางอากาศ ผมก็ส่งข่าวถึงผู้บริโภคได้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีผู้ตอบรับมาว่าดีจังเลย ชีวิตความสุข เขารู้สึกมั่นคงและปลอดภัย เขารู้แล้วว่าการได้มาซึ่งอาหารที่ดี มีคุณค่า ไม่ต้องระแวงระวัง มันต้องใช้ระบบอย่างนี้ร่วมมือกันแล้วเราก็ชวนเกษตรกรไปนั่งคุยกันว่า การมีสภาแบบนี้มีความหมายต่อชีวิตอย่างไร ทำให้เขามีความมั่นคงทางตลาด มันเป็นตลาดที่เป็นธรรมและยั่งยืน ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน เราเชิญทางโรงพยาบาลมาพูดเรื่องการปรุงอาหารให้คนป่วยมันมีความสุขกันทุกฝ่าย ผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงเรียน โรงแรม ฯลฯ แล้วมันก็จะนำไปสู่การขยายเครือข่าย จากหาดใหญ่ก็ขยายไปยังอำเภอนั้น อำเภอนี้ ทุกวันนี้ก็เป็นการเดินหน้าร่วมกันสร้างความป้องกันด้านอาหารปลอดภัยถวายเป็น พระราชสักการะในหลวง และเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่อาสาทำเรื่องนี้ก่อน

         สภาความร่วมมือ ด้านอาหารปลอดภัยเป็นสภาที่มีการขับเคลื่อนอย่างเต็มรูปแบบใน จ.สงขลา มีเพื่อนที่อยู่จังหวัดใกล้เคียงมาเรียนรู้จะเห็นกิจกรรมที่มีชีวิตชีวา เป็นกิจกรรมแห่งความสุขเป็นการสร้างสุข

              ก่อนที่จะให้เกษตรกรไปสร้างสุขเขาต้องเห็นทิศทางที่จะทำให้ชีวิตพอเพียงและพึ่งตนเองได้ ในฐานะที่เขาติดอยู่ในค่ายกลดั้งเดิมแบบเก่าๆ หลายชั่วอายุคน พอเกษตรกรเข้าสู่กระบวนการ เขากลับออกไป เขาก็จะไปบอกปากต่อปากว่าหลักสูตรนี้ดีนะ เพราะกระบวนการนี้ทำให้เขาตาสว่าง เห็นทางชัด รู้ว่าจะกลับไปเริ่มต้นที่ตัวเองอย่างไรเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนแผนการผลิตใหม่ ต้นทุนการผลิตที่เคยใช้เคมีแล้วมันก็ไม่สามารถทำให้ผลผลิตมีกำไรได้ มันมีแต่ทำให้เกิดกำไรในธุรกิจเกษตรเคมี เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ต้องซื้อจากบริษัทอาหารสัตว์ก็ต้องซื้อจากบริษัทอีก ปุ๋ยที่ใส่ให้พืชก็ต้องซื้อจากบริษัทอีก พอผลผลิตออกมาก็ให้บริษัทตีราคา เราเป็นทาสชัดๆ ทีนี้เราก็มีประเด็นอย่างนี้ เกษตรกรที่ผ่านกระบวนการเปลี่ยนชีวิตลดละอบายมุข คนที่ดื่มเหล้า ทะเลาะเบาะแว้งกับลูกเมียจนเป็นความขมขื่น ความเจ็บปวดแต่พอสามีมาเปลี่ยนในกระบวนการแบบนี้ เขาจะกลับมาทั้งครอบครัวเลยว่า อาจารย์คะ หนูมีสามีใหม่แล้ว ซึ่งก็คือคนเก่าที่เปลี่ยนใหม่ อันนี้คือความสุขของเรา

         คือเราไม่ใช่แค่ผลิตอาหาร แต่เราสร้างชีวิตใหม่ให้คนที่ตกทุกข์ ระทมทุกข์มานานสิบยี่สิบปีมาเปลี่ยน ฉะนั้นการเปลี่ยนชีวิตนี่สำคัญมาก คือได้เวลาที่เราต้องเปลี่ยน เพราะมันทุกข์มานานจนไม่รู้ว่านี่เป็นภารกิจของใคร หรือกระทรวงไหน ที่เราทำนี่เป็นเรื่องบูรณาการ ทุกเรื่องเป็นองค์รวม คือ มีเรื่องธรรมะ สุขภาพ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงสิ่งแวดล้อม เรื่องจิตสำนึกในความรักประเทศชาติบ้านเมือง

         ในวันสุดท้ายของกระบวนการ ก็จะมีรายการทำให้ได้ คือ แก้ไขตัวเอง ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมจะนั่งร้องไห้ มีไมค์ผ่านมือบอกว่าผมกลับไปจะเปลี่ยน ฉันจะกลับไปเปลี่ยน ฯลฯ ผมฟังแล้วชื่นใจมาก บางคนบอกว่าผมกินเหล้ามา ๒๐ ปี ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ผมจะหยุดเหล้าตอนช่วงอบรมไม่มีใครได้ดื่มเหล้าเลยนะ คนที่สูบบุหรี่ไปอยู่ที่นั่นสูบบุหรี่ได้น้อยมาก เพราะเราให้สูบบุหรี่ได้เฉพาะเวลาพักตอนอยู่บ้านสูบหรี่วันละซองมาอยู่ที่นั่นสูบได้ ๔-๕ มวน หรือมวนสองมวน มีหลายคนเลิกบุหรี่ เด็กที่อยู่ในแก๊งขับรถซึ่งก็เลิกนะ จากการติดตามผลซึ่งตรงนี้มันเป็นเรื่องที่ชื่นใจมากมันเป็นกระบวนการเปลี่ยนเราก็ชีมือพร้อมกันได้ว่า ถึงเวลาเปลี่ยน (ไม่ใช่โอบามานะ) ก็เป็นพลัง

             ทุกคนพูดหมดนะว่า ผมกลับไปจะไปเลิก ไปลด ไปละ แม้แต่กาแฟ ผมพูดในฐานะผู้บริโภคว่า กาแฟนี่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กระบวนการของการประชุมถูกยัดเยียดนะ เบรกด้วยกาแฟ แล้วกาแฟนี่มันเป็นธุรกิจของบริษัทข้ามชาติที่ทำลายป่ามากมาย ต้องโค่นป่าเพื่อปลูกกาแฟ แล้วเราในฐานะผู้บริโภคไปสนับสนุน เรามีส่วนร่วมกับการทำล้ายป่า คือเราต้องมีกระบวนการ ฉายให้เห็นภาพว่าป่าในประเทศโลกที่สาม ในอะเมซอน บราซิล หรือที่ไหนก็แล้วแต่ แม้แต่ที่ จ.ชุมพรนี่ก็เถอะภูเขาหัวโล้นหมดเลยนะ กาแฟปลูกเป็นไร่ๆ เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้ได้ คือแก้ไข ถึงเวลาเปลึ่ยนคนที่ดื่มกาแฟวันละ ๒-๓ แก้ว มาอยู่ที่ศูนย์ไม่ได้กิน เพราะเราให้ดื่มน้ำขิง น้ำตะไคร้ แล้วคนก็เปลี่ยน บางคนก็บอกว่ากลับไปนี่จะกินมังสวิรัติทุกวันเกิด เพราะอยู่นี่สุขภาพดีมากเลย คนที่มีโรคภัยไข้เจ็บก็รู้เลยว่านี่ถูกต้องแล้ว เริ่มกินทุกวันเกิด และสมัครเข้าอบรมการทำอาหารมังสวิรัติเป็นหลักสูตรฟรี ๒ วัน ๑ คืน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย มีคนสมัครต่อเป็นร้อย แต่ผมก็มีหลักสูตรต่อเนื่องนะ คนในเมืองที่มีฐานะ เป็นนักธุรกิจหรือชาวบ้าน คนจนคนรวยมาพบกันหมดเลยแล้วเขาไปมาหาสู่กัน มันอบอุ่น มีพลัง เห็นอกเห็นใจเกื้อกูลกัน ศูนย์เรียนรู้เพื่อเศรษฐกิจพอเพียงก็เหมือนเป็นสถานที่ทีทำให้ทุกฝ่ายมาพบกัน มามีไมตรีจิตต่อกัน

         มันก็เหมือนการตามหาญาติหาพี่หาน้อง เพื่อบอกว่าถึงเวลาแล้วที่คุณต้องปลูกผักกินเอง เราทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องสนุก ผมสังเกตดูคนที่มาเข้าหลักสูตรที่นี่ ๒ วัน ๑ คืน มีหมอเยอะมากพยาบาลด้วย เพราะเขาพยาบาลคนมาจนตายกับมือ เขาเซ็ง เบื่อ ทำไมมันตายเยอะขนาดนี้แล้วก็นึกถึงตัวเองและอาหารที่เขากิน อย่างผมมีเพื่อนเป็นหมอ ก่อนตายเป็นมะเร็งบอกว่าเป็นเพราะอาหาร เขาพูดเลยว่าเป็นเพราะอาหาร เขาดูแลตัวเองดีมาก ปั่นจักรยานทุกวันเป็น ๑๐ กิโล ว่ายน้ำ สารพัด กล้ามเป็นมัดๆ แต่เป็นมะเร็ง แล้วรู้เลยตัวเองตอนเช้าก็กินอาหารตรงนั้น ตอนเย็นก็กินอาหารตรงนี้ ไปงานเลี้ยง อยู่อย่างนั้นไปวันๆไม่มีการจัดการที่ดี พอเป็นมะเร็งมาหาผมบอก อาจารย์ภานุ ช่วยเตรียมผักให้ผมวันละตระกร้านะ แต่มันสายไปแล้ว

         ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้คนฟังฉุกคิดแล้วก็ฉายภาพให้ดู ภาพคนเป็นมะเร็งน่ากลัวมาก เห็นแล้วคุณต้องคิดเลย ถ้าคุณรักตัวเองนะ นึกๆดูกระบวนการอย่างนี้เราต้องทำเพราะคนลืม หลงว่าคนต้องหาเงินได้มากๆ คิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่างซึ่งมันไม่ใช่ เราก็ยกตัวอย่างของมหาเศรษฐีที่อยู่หาดใหญ่ ไม่กล้าไปซื้อผักในห้างซึ่งเขาจะซื้อเท่าไหร่ก็ได้ แต่เขาไม่มั่นใจว่ามันดีจริงหรือเปล่า เขาพาครอบครัวไปเรียนที่ศูนย์ฯ คือแม้กระทั่งการทำนาที่ปลูกในยางรถยนต์ คุณสามารถทำได้ นาขนาดย่อมๆ นี่นะผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าคนที่อบรมแล้วขอกลับมาอีก ผมถามเขาว่าไปเบื่อหรือเขาบอกไม่เบื่อ มีความสุข เขาอยากมาเติมพลังน่ะ

           เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ศูนย์ฝึกอบรมของเกษตรกรเท่านั้น แต่สำหรับผู้คนจากทุกสาขาอาชีพ ชีวิตจะทิ้งเรื่องพวกนี้ไม่ได้
    ผมต้องการทำงานรับใช้ อย่างพระโพธิสัตว์มีจิตวิญญาณที่ช่วยโลก เราต้องมีสำนึกซึ่งเรา สามารถทำได้ในท้องถิ่นที่เราอยู่ ทุ่มเทกายใจพลังทั้งหมดของเรา ประสานเครือข่ายอย่างมีพลัง ไม่มีอุปสรรคขวากหนามใดๆ เลย การที่เราทำเรื่องดีๆ เพราะเรามีปณิธานว่าทำเพื่อถวายในหลวงพ่อหลวงของพวกเราทุกคน ... 

         จากบัณฑิตมัณศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรจากอาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลาออกมาเป็นนักกิจกรรมทางสังคม เป็นนักการเมือง เป็นเจ้าของร้านอาหารปลอดสารพิษครัวสุขภาพ ในตัวเมืองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นเกษตรกรตัวอย่างดีเด่น ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

              วันนี้ อาจารย์ภาณุ พิทักษ์เผ่า นายกสมาคม เกษตรอินทรีย์ วิถีไท ก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวด้วยการเปิดศูนย์เรียนรู้คุณธรรมเพื่อเศรษฐกิจพอเพียงถึงแม้จะสู้แนวทางการพัฒนากระแสหลัก ที่ชักนำประเทศนี้สู่อุตสาหกรรมไม่ได้ ทว่า อาจารย์ภาณุ พิทักษ์เผ่า ยังเชื่อว่า นี่คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชุมชนไม่ให้เพลินไปตามกระแสทุนนิยมเสรี


--------------------------------------------------*


(น.๓๒-๓๔)
คอลัมภ์ : ธรรมะสำราญ                                                          
โดย : พ.กิ่งโพธิ์

                   สำนึกสวนสาธารณะ

         ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังบันทึกข้อความส่งมาถึงท่านทั้งหลายอยู่นี้ เป็นตอนบ่ายวันหนึ่ง ณ สวนลุมพินี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นสวนสาธารณะกลางใจเมืองกรุงเทพมหานคร ถนนด้านนอกโดยปกติก็จะมีรถยนต์มากมาย มักมีสภาพคับคั่งและติดขัด แต่เมื่อเข้ามาในสวนลุมพินี ก็จะพบบรรยากาศอีกแบบหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับบรรยากาศข้างนอก เมื่อยังมากมีด้วยต้นไม้ก็ยังมากมีชีวิต โดยเฉพาะนกกานานาชนิดมีอยู่มิใช่น้อย ผู้คนมาใช้ชีวิตแบบผ่อนคลายความขัดข้องไม่น้อยที่นอนเอนราบไปกับพื้น หนุ่มสาวบางคู่ถึงกับแสดงบทรักทั้งในท่านั่งและท่านอนตามธรรมชาติของสัตว์โลก เพียงแต่ไม่มีใครตั้งใจจดจ้องมองใครเท่าใดนัก

     หญิงชายคู่หนึ่งเข้าใจว่าเป็นสามีภรรยากัน ได้นำพาเด็กชายสองคน เข้าใจว่าเป็นลูกของหญิงชายคู่นั้น เข้ามาเล่นบอลในพื้นหญ้าใกล้โคนต้นก้ามปูที่ข้าพเจ้านั่งบันทึกข้อความอยู่ สักพักหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ของสวนเข้าไปบอกว่าตรงนี้เล่นบอลไม่ได้ ต้องไปเล่นอีกที่หนึ่งของสวนนี้ทั้งสี่ชีวิตจึงย้ายบอลหนึ่งลูกไปที่อื่น การมีระเบียบแบบบทปฏิบัติให้ชัดเจน และมีผู้คอยดูแลระเบียแบบบทปฏิบัติอย่างแท้จริง ย่อมช่วยให้สวนสาธารณะพอจะมีสภาพที่น่ารื่นรมย์อยู่บ้างแม้การจัดสวนจะยังไม่สวยหรูอลังการเท่าใดนักก็ตาม

     ยิ่งชีวิตแบบชาวเมืองขยายตัวมากขึ้นเท่าใด ก็จะขาดแคลนธรรมชาติที่น่าชื่นชมมากเท่านั้น การสร้างและการดูและการดูแลรักษาสวนสาธารณะไว้ด้วยความใส่ใจ ย่อมเป็นการช่วยเสริมในส่วนขาดให้กับชีวิตคนเมืองได้มาก อย่าว่าแต่คนเมืองเลย แม้แต่คนชนบทในยุคนี้ก็ไม่ค่อยเหลือ ธรรมชาติให้น่าชื่นชมเท่าใดนักดอก ล้วนพากันวิ่งตามวิถีชีวิตแบบชาวเมือง ได้ทราบสถิตจาก สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล รายงานว่า จำนวนประชากรในเขตเทศบาลทั่วประเทศมีจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ตัวเลขในวันนี้ คนในเขตเมืองจะมีมากเป็นครึ่งหนึ่งของประชากรทั่วประเทศ นั่นแปลว่า คนเลือกใช้ชีวิตแบบกระจุกมากกว่าแบบกระจาย ก็แหละการเป็นอยู่แบบชาวเมืองนั้นย่อมแออัดเยืยดและต้องยื้อแย่งแข่งขัน ก่อให้เกิดความเครียดในช่วงวันหยุดยาว คนเมืองจำนวนไม่น้อยก็จะทิ้งชีวิตแบบเมืองไปสู่บรรยากาศแบบชนบทสบายๆ แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตแบบคนเมืองอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า การเข้ามาใช้บริการในสวนสาธารณะหลายแห่งก็อยู่กลางเมืองนี่เองเพียงแต่ต้องทำให้สวนสาธารณะมีสภาพเป็นสวนสาธารณะไม่ควรมีกิจกรรมล่วงล้ำก้ำเกินความเป็นส่วนตัวของคนที่มาใช้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดเครื่องขยายเสียงในกิจกรรมใดๆ ให้เป็นที่รบกวยผู้อื่นที่ไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้นๆ เป็นข้อควรระวังสังวรให้จงหนัก สวนสาธารณะไม่ควรมีการค้าขาย เช่น การออกร้านจำหน่ายสินค้า ซึ่งควรจะมีในที่แห่งอื่นมากกว่าในสวน สมควรทำให้สวนเป็นที่ว่าง ที่โล่ง ที่เงีบสงบ ซึ่งเป็นส่วนขาดของคนเมือง กิจกรรมการออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่น่าสนับสนุนแต่ไม่ควรให้มีเสียงรบกวนผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมความว่าสวนสาธารณะควรเป็นที่ตอบสนองวัตถุประสงค์หลัก ของการมีสวนยิ่งกว่า วัตถุประสงค์รอง

         บันทึกถึงตรงนี้เริ่มได้ยินเสียงประกาศ เสียงเพลงดังในบริเวณสวน ขอให้เปิดเสียงเบาๆ และอย่าบ่อยๆนั่งอยู่โคนต้นก้ามปูที่แผ่กิ่งก้าน สาขาอยู่ในบริเวณหนึ่งของสวนลุมพินี พิมพ์ดีดร้อยเรียงถ้อยคำเพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ มาหลายชั่วโมงติดต่อกัน ยามเย็น พระอาทิตย์อ่อนแสง มีผู้คนเข้ามาใช้สวนลุมพินีมากขึ้น ที่มาคนเดียวก็ออกวิ่ง ที่มากันเป็นครอบครัวก็พากันเดินเรียงหน้ากระดาน บางคนและบางคู่ก็ขี่จักรยาน ชีวิตแบบช้าๆ ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง แม้จะถูกบังคับให้ต้องช้าๆ แต่ก็น่าชม แตกต่างจากวิถีชีวิตบนท้องถนนนอกบริเวณสวนลุมพินี ซึ่งเป็นชีวิตที่ต้องรีบเร่งไปสู่ความร่ำรวย อันที่จริงชีวิตในสวนลุมพินีเป็นชีวิตที่ไม่ได้เงินทองทรัพย์สมบัติใดๆ พูดให้โก้ๆ ก็คือเป็นชีวิตที่ไม่มีมูลค่า แต่เป็นชีวิตที่มีคุณค่า จากการที่ได้พักผ่อนหย่อนใจ คนเมืองมักมีชีวิตรีบเร่งเร่าร้อน สวนลุมฯ ช่วยเติมเต็มในส่วนขาด

         ผู้ต้องการมีชีวิตที่เป็นสุข สมควรทำอะไรให้ช้าลงบ้าง เมื่อทำอะไรช้าลงโดยไม่ใช่เป็นคนเฉื่อย แต่เป็นคนช้าๆ แบบชัดๆ ย่อมจะได้สัมพัสความงามของชีวิต

ที่มา : http://www.facebook.com/note.php?note_id=166359566790600

--------------------------------------------------*
(น.๓๕-๔๐)

ต่อสายโทร... พี่เสื้อแดง

                                                                      
          หลายปีมานี้ เรื่องแผ่นดินไทย ปัญหาหนักอกต้องใช้คำถามครุ่นคิดวนไปวนมาซ้ำซาก กับตัวเองเหมือนวงเวียน

         วันนี้พบทาง สรุปตัดสินได้เรื่องเดียวคือพระองค์ คนเขียนจะช่วยพระองค์ได้อย่างไร เพราะหากประเทศนี้ไม่มีพระองค์ คงไม่ต่างกับชนชาติรอบๆบ้านเรา

          ตัวหนังสือทุกตัวเขียนด้วยภาษาชาวบ้าน เนื่องจากเป็นการสนทนากับชายอายุเกือบ ๖๐ ปี ความรู้ไม่แน่ใจ จบป๔หรือเปล่า พี่เสื้อแดงคนนี้เลิกอาชีพเป็นช่างพร้อมกับเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถเล็กๆแห่หนึ่งในย่านนนทบุรี เมื่อต้นปีนี้เอง

         การกล่าวถึงพระองค์ท่าน คนเขียนเองมีความรู้น้อย ใช้ราชาศัพท์ไม่เป็น ทั้งเป็นการพูดคุยกับชาวบ้าน การใช้ภาษาจึงจำเป็นต้องเอ่ยกันอย่างชาวพื้นบ้านแท้ๆ เพียงเพื่อให้พี่เสื้อแดงคนนี้เข้าใจ ตื่นรู้ คนพบความจริงด้วยการถามและตอบอย่างครอบครัวไทยแท้ๆครอบครัวหนึ่ง

         หากไม่สุภาพ กรุณาช่วยกดลบให้ด้วยค่ะ คนเขียนต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ไม่อยู่ในพื้นที่ติดต่อสื่อสารสัญญาณใดๆทั้งสิ้น
                                                 ......................................................................

         สูดลมหายใจลึกๆ ๓หน...กดโทรศัพท์หาพี่เสื้อแดงชาวร้อยเอ็ด  ชื่อพี่หวินคนนี้ ถือศิลสมาธิ ร่าเริง อ่อนหวาน โอบอ้อมอารีย์ จัดทอดผ้าป่าไปบ้านร้อยเอผ้ดทุกปี เป็นที่รักของชุมชนชาวบ้านซื่อๆ คนพิเศษคนหนึ่ง

         ปัญหาสำคัญที่สุด....ใครห้ามแตะทักษิณ ครอบครัวเหลือบ้านนี้ต้องเงียบปิดปากมาหลายปีเอ่ยแอะไม่ได้สักนิดเดียว คนดี พอเพียง สมถะ แต่ดื้อที่สุด ทำให้ทุกคนตัดสินไม่เอ่ยทำร้ายน้ำใจ

                                                 ......................................................................

พี่หวิน  (รับสายส่งเสียงถูกคนถูกเบอร์) ครับ ผมหวินครับ
คนเขียน  กุ้งเองค่ะ ตอนนี้พี่อยู่ร้อยเอ็ดหรืออยู่ม๊อบราชดำเนินค่ะ โทรมาทั้งที่ไม่เคยโทรมานานแล้วขออภัยด้วย หากรบกวนพี่หวินค่ะ เกรงใจพี่มากๆค่ะ

พี่หวิน  มีอะไร คุยกันได้ หัวเราะด้วย ไม่เป็นไรครับ
         นิสัยพี่หวินคุยไปต้องหัวเราะไปด้วยทุกครั้ง เรื่องทุกข์ร้อนหากปรึกษากันต้องหัวเราะ

คนเขียน  แต่ก่อนอื่นกุ้งขอสารภาพว่า ก่อนโทรมาหาพี่หวิน กุ้งกราบพระ กราบภาพในหลวงข้าฝาบ้าน อธิษฐานขอพรจากท่าน กุ้งถึงกล้าโทรหาพี่หวิน
              พี่หวินหัวเราะอารมณ์ดีแต่เริ่มสงสัย เลาะรั้วทำไมกัน แนะแนวเสื้อแดงซิท่า
         คนเขียนรู้ตัวว่าควรช้าลงนิด นิ่มนวลหากจริงใจมากกว่าจริงจัง

คนเขียน  ถามพี่หวินเพียงข้อเดียว ถ้าตอบตรงกัน...ก็ขอคุยต่อ

พี่หวิน  ถามได้เลยครับ ถามหลายๆข้องก็ได้

คนเขียน  ขอถามพี่ ระหว่างทักษิณกับในหลวง พี่หวินเลือกใคร

พี่หวิน (หัวเราะเบาๆ) คำถามจิ๊บจ๊อย ก็ต้องเลือกในหลวงซิ นี่ไปฟังใครมาว่าทักษิณไม่รักในหลวง
              พี่หวินถามกลับมาทันที

คนเขียน  ถ้าอย่างนั้นขอคุยเรื่องในหลวงพระองค์เดียว....ตัดคนไทยออกไปทั้งประเทศ ทักษิณแกนนำเสื้อแดง อำมาตย์ นายก เสื้อเหลือง สนธิ ป๋าเปรม หลวงพ่อ หลวงพี่ ญาติพี่น้อง ข่าวทีวี หนังสือพิมพ์ วิทยุ แกนนำเสื้อแดง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลูกเมียที่บ้าน ตัดให้หมด คิดถึงแต่พระองค์ ขอคุยเรื่องพระองค์คนเดียว ตกลงได้ไหมคะพี่ คุยถึงหลายคนมันไม่ใช่ เรื่องพระองค์อย่างเดียว เพราะสิ่งที่กำลังทำ ทำให้พระองค์ท่านค่ะ 

พี่หวิน

คนเขียน  ขอถามต่อได้นะค่ะ เพราะคำตอบแรกของเราตรงกัน พี่หวินทุกข์ทรมานมากไหมที่ประเทศเราเป็นอยู่ขณะนี้

พี่หวิน (ตอบจริงจัง) ทุกข์ซิ ทุกข์มากด้วย ยิ่งเข้ามาในเมืองในที่ชุมนุม เห็นทีวีรัฐบาลบิดเบือนข่าวเสื้อแดงแล้ว  ทำไมต้องโกหก แกล้งทักษิณ แกล้งชาวเสื้อแดง ยุแหย่ว่าทักษิณไม่รักในหลวง

คนเขียน (รีบกล่าวแย้ง) สัญญาว่าจะไม่คุยเรื่องรัฐบาลนายกหรือทักษิณ เราตกลงกันแล้ว ใช่ไหมคะ
              อีกหนี่งคำถาม....คนไทยแตกแยกยากจะสมานฉันท์เข้าไปทุกที ทุกข์ทรมานจิตใจกันไป ทุกคนทั้งประเทศ ขอถามพี่ ใครคือผู้ที่ทุกข์ที่สุดในประเทศไทย
              ง่ายๆกับคำตอบที่พี่หวินเพิ่งให้ตัวเองในใจ ๑ ข้อ

คนเขียน  (รีบกล่าวเน้น) เราทั้งคู่ต่างไม่ใช่ผู้ทุกข์ที่สุดในประเทศไทย...
         ความเงียบช่วยให้พี่หวินค่อยๆคิดตามอย่างตั้งใจขึ้นกว่าเดิมมาก
         ความเข้าใจมาแล้ว เพิ่มความตั้งใจอยากได้ยินเรื่องถามต่อไป การนิ่งเงียบไม่ใช่เพราะหงุดหงิด แต่กำลังคล้ายตามอย่างช้าๆเพราะมีเหตุผลให้พิจารณา
         ชายเสื้อแดงเริ่มฟังด้วยหัวใจ ทิฏฐิเริ่มอ่อนลง คนเขียนรับรู้ได้แม้เป็นคุยกันทางโทรศัพท์ทั้งไม่เห็นหน้ากัน

คนเขียน  พี่หวินเกิดก่อนกุ้งหลายปี เห็นพระองค์ท่านทรงงานมายาวนาน ๖๐ ปี ข่าวทีวีราชสำนัก ข่าววิทยุตอนเช้า ตอนเย็น เราทั้งคู่ได้ยิน ได้เห็นภาพท่านเหน็ดเหนื่อย ทรงงานตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ตอนนี้ท่านอายุ ๘๐ ปี แล้วนะพี่
              พี่หวินเอ่ยถึงพระองค์อย่างรักใคร่เทิดทูนให้คนเขียนรู้ว่ามาถูกทางแล้ว
              ช่วงหนึ่งพี่หวินแย้ง ที่ช่วยทักษิณเพราะเก่งเรื่องเศรษฐกิจ

คนเขียน  พี่หวินคะ ความรักของเรา แม้ต้องยากจนแต่เพื่อให้พระองค์มีความสุขพี่หวินก็เลือกเหมือนกุ้ง ยอมกลับไปยากจนกว่าที่เคยจน จนแค่ไหน ถ้าท่านมีความสุขเราก็พร้อมจะจนใช่ไหมพี่
              เสียงพี่หวินสุภาพตอบด้วยหัวใจ จริงครับ...ใช่ครับ
                   คนเขียนเน้นในเรื่องเวลาของเราทั้งคู่ที่เหลือ ต้องรีบกระทำอย่างเร่งด่วน ผัดผ่อนไม่ได้อีกแล้ว

คนเขียน  พี่หวินคะ...บางเรื่องพี่หวินยังไม่รู้ เพราะพี่หวินไม่รู้จักอินเตอร์เนท ในนั้นมีคนหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่หลายคนวิจารณ์.....
              เสียงพี่หวินเหมือนไม่เชื่อ
              คนเขียนให้เหตุผลง่ายๆว่า คนรุ่นใหม่หัวสมัยใหม่มากมาย ทำธุรกิจ ทำงานธนาคาร ทุกสาขาอาชีพ ทั้งนักร้องนักแสดง คนหัวสมัยใหม่ ไม่ได้รับรู้ขณะท่านทำงานหนัก
              รู้แต่ปัจจุบัน....คือชายชราคนหนึ่ง
              หน้าที่คนหนุ่มสาววัยสร้างฐานะ ทุกชาติ ทุกภาษาเปลี่ยนประเทศตัวเองให้ทันหรือก้าวไปไกลกว่าชาวโลก
              น้ำเสียงของพี่หวินเหมือนชายที่อยากโอบกอดความทุกข์ทั้งหลายเอาไว้คนเดียว พี่ไม่รู้เลยเรื่องนี้
คนเขียน  เราทั้งคู่รู้กันอยู่ว่าตอนนี้ท่านอยู่โรงพยาบาลศิริราชมาหลายเดือน ประเทศชาติยับเยินประชาชนคือลูก ลูกทั้งประเทศกำลังตีกัน ในขณะที่พ่อของเราอยู่โรงพยาบาล เราควรทำหรือค่ะพี่ ทีนี้...ลองนึกถึงพระองค์ท่าน ด้วยเป็นกษัติย์ที่มีธรรม ...ทักษิณเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ประชาชนควรต้องคิดและวิเคราะห์สัญญาณให้เป็น ประชาชนก็บอกว่ารักพ่อ ให้ในหลวงเป็นพ่อ ท่าน ๘๐ ชันษาแล้วพี่ เดินก็ไม่ค่อยไหว นั่งรถเข็น
สมัยก่อนงานของพระองค์ท่านคือช่วยชาวบ้านชาวป่า....ประชาชนชาวชนบททุกจังหวัดจนถึงหมู่บ้าน ย้อนหลังเมืองไทยเมืองลาวความเจริญไม่แตกต่างกัน หวังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยกุ้งกับพี่หวินมีบุญกุศลร่วมกัน
         พี่หวินพร่ำรำพันย้ำให้รู้อย่างตั้งใจ  พี่หวินรักในหลวง คนไทยที่เป็นคนบ้านนอกในอีสานรักในหลวงกันทั้งนั้น ด้วยประโยคซื่อแสนซื่อหลายประโยคบริสุทธ์ จริงใจ

คนเขียน  ถามพี่หวินต่อนะคะ ความรักของเราที่มีต่อพระองค์ ถ้ากุ้งเป็นทักษิณ รักในหลวงอย่างที่ทักษิณโฟนอินบอกทุกคืน ความร่ำรวยเงินทองเป็นแสนล้าน ลูกเมียต่างสุขสบาย แค่ไม่ได้กลับเมืองไทย ให้คนในชาติสามัคคี กัน ประเทศกลับสงบสุข เพื่อพระองค์อย่างเดียว มันช่างง่ายมากๆ สามมารถตัดสินใจทำเพื่อพระองค์ทันที หากกุ้งคืนทักษิณกุ้งยอมเสียสละค่ะ ถ้าหากพี่หวินคือทักษิณ พี่หวินจะทำเหมือนกุ้งหรือเปล่าคะ

         พี่หวินเงียบ หัวใจเหมือนกุญแจถูกปลดล๊อค ไม่ต้องมีเสียงตอบมา ....คนเขียนก็รู้ทันทีว่าพี่หวินมีคำตอบเพิ่มในใจอีกข้อเพื่อพระองค์

         ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของชีวิตคุยกับเสื้อแดงได้อย่างอิ่มเอิมในหัวใจ ในรอบหลายปีตั้งแต่ปี ๔๙
              คนเขียนรู้ทันทีแสงธรรมได้ช่วยพี่หวินให้ฟื้นจากระบอบทักษิณแล้ว แต่ไม่ควรรีบอวดตัวเองเกินไป นั่นคือเปิดประตูแห่งความประมาท แค่สมควรให้กำลังใจตัวเองบ้าง

              คนเขียนฝากคำวิงวอนสุดท้ายว่า....
         วันหนึ่งหากมี ๒๔ชั่วโมง ของให้ธรรม ศีล พระพุทธที่พี่เพียรปฏิบัติมาเกือบ ๒๐ ปี การสวดมนต์ตั้งแต่สองทุ่มทุกวัน ....พี่หวินมีธรรมสะอาด บริสุทธิ์ แน่นอนต้องมีพลังมากกว่ากุ้งหลายเท่านัก เราช่วยกันระลึกถึงพระองค์ให้มากที่สุดในแต่ละวัน สำคัญต้องตัดความคิดความกังวลเรื่องบ้านเมืองออกไป

         สุดท้ายขอนัดหมายสำทับชักชวนพี่หวินไปศิริราช เอาธรรมนำหน้า พาพี่เสื้อแดงไปนั่งสมาธิเพื่อพระองค์
         วันนี้งานของคนเขียนก้าวหน้าไปอีกนิด ไม่อยู่แต่ในวงเสื้อสีเหลืองต่อไป
         คิดว่า ...เราจะเริ่มกับพี่เสื้อแดงคนนี้ต่อไป แต่ต้องทิ้งช่วงสักระยะหรือต่อภาคสองหาทางสรุปให้จบ
         พี่น้องเสื้อเหลืองช่วยคนเขียนคิดด้วยค่ะ
         คิดว่าควรจบบันทึกเพียงเท่านี้ ไก่ชนข้างบ้านเริ่มขัน นกกาเหว่างร้องดังเพื่อขอนกสาวให้ได้ยิน กาเหว่าไม่ไกลต้นหว้าหน้าบ้านเป็นเพื่อนคนเขียนจนจบบันทึกค่ะ

                   หมายเหตุ: คัดมาจาก blog ใน Manager online 23/03/2553
                                  เขียนโดย  pkkk2714
                   ด้วยเห็นว่าผู้เขียนมีศิลปะที่งดงามในการสื่อสารเพื่อสันติ สามัคคี
                                                 สิริมา   ศรสุวรรณ           


-------------------------------------------*
(น.๔๑)

คำอธิษฐาน.... เพื่อผ่านฟ้า     
                                           
          
         ทรพีควายพาลสันดานชั่ว
ลำพองตัวคิดฆ่าพ่อก่อบาปหนา
         ผยองจิตเผยอตนพันอัตรา
ฉกาจกล้าก่อการผลาญพงศ์พันธุ์


         เทพไทไม่พิทักษ์คอยรักษา
ผู้อกตัญญุตาควรอาสัญ
         วิญญาณชั่วกลับชาติใหม่หรือไรกัน
คนผู้นั้นจึงเลวล้ำทำนองเดิม


          เสียดายความเก่งกาจฉลาดลึก
ไร้คุณธรรมไร้สำนึกจึงฮึกเหิม
          แปรสัญชาติก่อการใหญ่ใจเหิมเกริม
ใช้กลโกงเพิ่มเติมเสริมบารมี


         หลากหลายเล่ห์ฉ้อฉลล้นลึกล้ำ
ลอบกระทำการใหญ่ไฉนนี่
          ยังมีคนหลงลมคมวลี
ด้วยภักดีเงินตราชายค่าตน


         พระเสื้อเมืองทรงเมืองผู้เรืองฤทธิ์
เทพศักดิ์สิทธิ์ทุกตำแหน่งทุกแห่งหน
         โปรดพิทักษ์กษัตริย์ชาติศาสนชน
คืนมงคลสู่ถิ่นแผ่นดินทอง


         ขอคนเลวล้มแหลกแยกสลาย
จงแพ้พ่ายคุณธรรมกรรมสนอง
          วิญญาณควายทรพีที่ลำพอง
จงตกปล่องสุดท้ายใต้โลกันต์


    ชนกนาถ  ทักษิณธรรม



ที่มา : http://www.facebook.com/note.php?note_id=166689346757622


----------------------------------------------------*
(น.๔๒-๔๓)

ถึง  เพื่อนชาวไทยที่รักในหลวง

                                                                 
    ได้โปรดอย่าได้  FORWARD จดหมายเวียนที่ลบหลู่ให้ร้ายในหลวง (FORTUNE magazine ลำดับกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก) ต่อไปอีก เพราะนอกจากจะเข้าข่ายหมิ่นและให้ร้ายต่อในหลวงของเรา แล้วยังร่วมกล่าวหาอย่างเป็นเท็จต่อพระองค์ท่านอีกด้วย โดยพระองค์ท่านเองไม่สามารถออกมาชี้แจงหรือโต้ตอบอย่างใดได้เลย


    ท่านทราบไหมว่า วังที่ในหลวงพระทับที่สวนจิตรฯนั้น เป็นบ้านที่เล็กกว่าบ้านของเศรษฐีไทยหลายพันคน เล็กกว่ากระทั่งบ้านของอดีต รมต. หลายร้อยคน วังสวนจิตรลดาถึงแม้จะมีบริเวณใหญ่ แต่ส่วนที่เป็นที่ประทับมีบริเวณเล็กมาก ที่ดินส่วนใหญ่เป็นโรงเรียน โรงงานทดลองทำปุ๋ย โรงเลี้ยงวัว แปลงทดลองปลูกข้าว


    บุคคลทั่วไปก็เข้าไป ร.ร.จิตรลดา ได้ โดยขอแลกบัตรได้ทุกคน จากบริเวณโรงเรียนก็มองเห็นอาคารที่ประทับได้ห่างออกไปไม่ถึง ๑๐๐ เมตร


    ใครอยากจะเห็นด้วยตาตนเองก็เข้าไปดูได้สะดวก ง่ายๆ ผมเห็นว่าพระองค์ท่านกิน อยู่ แบบคนไทยชั้นกลางทั่วไป ไม่ใช่แบบเศรษฐิไทยอย่างแน่นอน


    คนซ่อมรองพระบาทของพระองค์ท่าน ได้เล่าให้พวกเราได้รับทราบ ท่านจะส่งรองพระบาทเก่าของท่านมาซ่อมตลอด จนซ่อมไม่ไหว รองพระบาทเก่าคู่นั้น ช่างยังเก็บไว้ให้เราไปดูได้


    สมาคมทันตแพทย์ไทยไปเข้าขอพระราชทานหลอดยาสีฟันเก่า ที่ทรงใช้ยาสีฟันได้จนหยดสุดท้าย โดยรีดจนหลอดแบนเป็นกระดาษ ไปขอดูที่สมาคมได้


    เกี่ยวกับทรัพย์สินมูลค่ามาก ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตรย์ ที่ฝรั่งไปเอามูลค่าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทปูนซีเมนต์ไทย ธนาคารไทยพานิชย์ นั้นมารวมว่าเป็นทรัพย์สินของในหลวงด้วยนั้น ไม่ใช่ครับ


    ที่เป็นของพระองค์ท่านส่วนพระองค์ มีครับ แต่ไม่มาก เรียกว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์ จะต้องเสียภาษีอากรภายใต้กฎหมายเหมือนประชาชนทั่วไป


    ทรัพย์สินของพระมหากษัติย์เดิม ส่วนที่ถูกยึดมาเป็นของรัฐ หลังปฏิวัติ พ.ศ.๒๔๗๕ นั้น ตกเป็นของรัฐทั้งหมด เห็นได้ว่าทรัพย์สินส่วนนี้จึงไม่ต้องเสียภาษี เหมือนส่วนที่เรียกว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์


    สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จัดตั้งขึ้น โดยรัฐบาลยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ให้ รมต.คลังของรัฐบาลเป็นประธานควบคุมดูแล ที่จริงก็คือ ทรัพย์สมบัติของราชวงศ์จักรีเดิม ถูกยึดมาเป็นของกลาง เป็นของรัฐฯ หมดแล้ว หลังจากได้ยึดอำนาจจากระบบ ปกครองโดยกษัตริย์ โดยรัฐบาลใดๆที่ชนะการเลือกตั้งก็จะได้สมบัติที่ยึดมาทั้งหมดนี้ไปดูแล ที่ดินของราชวงศ์จำนวนมากก็ถูกยึดมาเรียกว่า ที่ดินราชพัสดุ กระทรวงการคลังดูแล


    ธนาคารออมสิน ธนาคารที่ ร.๖ ตั้งด้วยเงินส่วนพระองค์เริ่มต้นเอง ปัจจุบันมีเงินเพิ่มพูนเป็นแสนล้านก็กลายเป็นธนาคารของรัฐ ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ใช้ระเบียบที่ ร.๖ ท่านวางไว้เดิมให้ เสนาบดีพระคลังเป็นคนดูแล ปัจจุบัน รมต.คลังเป็นคนดูแลเอง ตั้งกรรมการได้เองทั้งคณะรัฐบาลจึงเอาเงินไปใช้ได้สะดวกมาก พระราชวงศำไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในธนาคารเลย


    ผมเป็นคนไทยธรรมดา มิได้เกี่ยวข้องเป็นราชนิกูลแต่อย่างใด มีเชื้อสายบรรพบุรุษ เป็นมอญ ลาว จีน มีเชื้อสายไทยแค่ ๑ ใน ๔ เท่านั้น แต่ก็ได้เกิดมาในประเทศไทยที่มีความสุขและมีกษัตริย์ที่ดี ผมจึงรักในหลวงมาก การใส่ร้ายพระองค์ท่านต่างๆ ในขณะนี้ ไม่ให้ความเป็นธรรมกับพระองค์ท่านเลย และเริ่มมีคนหลงใหล และเชื่อคำให้ร้ายต่างๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
    จึงต้องออกมาชี้แจง ข้อเท็จจริงมีอยู่ พิสูจน์ได้


    ใครยังไม่เห็นจริงก็ออกมาโต้ได้ อย่าเชื่อโดยไม่พิสูจน์ก่อน




    ขอแสดงความนับถือ
    รองศาสตราจารย์ ดร.ต่อตระกูล   ยมนาค


    fw mail

ที่มา : http://www.facebook.com/note.php?note_id=166741513419072


---------------------------------------------------------*
 (น.๔๔-๔๗)

อังคาร... ผู้ผ่านปัจฉิมวัย

    ในงาน อังคาร....ผู้ผ่านปัจฉิมวัย ณ ชุมชนบุญนิยม พุทธสถานสันติโศก ย่านบึงกุ่ม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2553 เพื่อหารายได้ช่วย อังคาร กัลยาณพงศ์ จิตรกรมกวีวัย 84 ปี เจ้าของรางวัลซีไรต์ปี พ.ศ. 2529 จากผลงานกวีนิพนธ์เรื่อง ปณิธานกวี และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) ปี พ.ศ. 2532 ที่กำลังเจ็บป่วยเพราะหลายโรครุ้มเร้า ได้มีผู้เดินทางไปร่วมงานกันแน่นสถานที่จัดงาน


    โดยงานได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อให้แต่ละคนได้ซื้อหาสินค้าจาก “ร้านน้ำใจ” ที่มีร้านค้าเฉพาะกิจนำของมาขายรวมกันเป็นตลาดขนาดย่อม เพื่อนำรายได้จากการขายโดยไม่หักค่าใช้จ่ายมอบให้กับท่านอังคาร


    จากนั้นเวลา 09.00 น. จึงเริ่มมีการเสวนา “ฤาไทยไม่ถึงกวีศิลป์” โดย อังคาร กัลยาณพงศ์, เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, ส.ศิวรักษ์ และสมณะโพธิรักษ์  ดำเนินรายการโดย สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ และยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที


    ซึ่งสาระส่วนหนึ่งของการเสวนานอกจากแต่ละท่านจะมาแสดงทัศนะส่วนตัว ว่าเหตุใดผู้คนในปัจจุบันจึงเข้าไม่ถึงบทกวี ตามหัวข้อที่พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ เจ้าของสถานที่ได้หยิบมาเป็นประเด็นพูดคุย และกล่าวถึงท่านอังคารไว้ว่า


    อาตมาไม่มีความรู้ในภาษาต่างประเทศจึงไม่ลึกซึ้งในบทกวีของต่าง ประเทศ แต่อาตมาซาบซึ้งในภาษาไทย อาตมาเห็นว่าท่านอังคารเป็นกวีอย่างแท้จริง และนอกจากชั้นเชิงภาษากวีแล้ว ท่านอังคารยังมีภูมิธรรมระดับชั้นโลกุตรธรรมอยู่ด้วย


    ขณะเดียวกันผู้อาวุโสทุกท่านยังมาร่วมกันบอกย้ำกับสังคมด้วยว่า เวลานี้กวีที่ดีที่สุดยังมีชีวิตอยู่ และทุกวันนี้กวีคนนี้ กำลังถูกโรคภัย ไข้เจ็บรุมเร้า ตลอดปัญหาเศรษกิจและการเงิน ดังนั้น อย่าได้รอมายกย่องกันเมื่อตอนเสียชีวิต


    จบวงเสวนา หลังจากที่ทุกคนได้แยกย้ายกันไปรับประทานอาหารที่ทาง พุทธสถานสันติอโศก จัดไว้ให้รับประทานฟรีตลอดทั้งวัน และเลือกซื้อหนังสือจากสำนักพิมพ์กินรินทร์ ที่มีผลงาน ของท่านอังคารมาจำหน่าย อาทิลำนำภูกระดึง บางกอกแก้วกำศรวลหยาดน้ำค้างคือน้ำตาของเวลา กวีนิพนธ์ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ครบรอบ 81ปี อังคาร กัลยาณพงศ์ ฯลฯ มาจำหน่าย และผลงาน เล่มล่าสุดของ ส.ศิวรักษ์ เรื่อง “เสียง จากปัญญาชนสยาม วัย 77 ปี” โดยสำนักพิมพ์สยามปรีทัศน์ ผู้ยกย่องให้ท่านอังคาร เป็นกวีที่อิทธิพลต่อยุคสมัยในรอบ 100 ปี


    ส่วนคนที่อยากได้บทกวี ราชเดินนำ ราชดำเนิน ผลงานของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่อาจารย์เนาวรัตน์นำมาโชว์และอ่านให้ฟังในวงเสวนาซึ่งรายได้ครึ่งหนึ่งจาก การจำหน่ายจะมอบให้ ASTV แฟนผลงานของอาจารย์เนาวรัตน์ต้องตามไปซื้อในงานสัปดาห์หนังสือที่บูธ F11


    ช่วงบ่ายของงานผู้คนยิ่งทยอยกันมาร่วมงานกันมากขึ้น หลายคนเดินทางมาต่างจังหวัดเพื่อมาร่วมงานนี้โดยเฉพาะ เพราะถือว่าเป็นวันรวมญาติของชาวพันธมิตรไปด้วยในตัว แม้จะไม่มีที่นั่งเหลือพอให้หย่อนก้นลงนั่งและ เอนกายภายในบรรยากาศอันร่มรื่นของพุทธสถานสันติอโศก ที่มีทั้งต้นไม้ โขดหินและเสียงน้ำตก


    ขณะที่ศิลปิน ดารา และนักร้องชื่อดัง อาทิ ชินกร ไกรลาศ สุชาติ ชวางกูร หรั่ง ร็อคเครสตร้า อุมาพร บัวพึ่ง ศรัณยู วงศ์กระจ่าง น้าเศก ศักดิ์สิทธิ์ วงโฮป คีตาญชลี วงสิชล วงคันนายาว กรรณิกา อารีสมาน ทอดด์ ทองดี เปี๊ยก สิชล นุช สกล ฯลฯ สับเปลี่ยนกันขึ้นเวทีเพื่อร้องเพลงขับกล่อมผู้ที่มาร่วมงานและส่วนหนึ่งเตรียมเงินในกระเป๋ามาร่วมกันประมูลภาพเขียนของท่านอังคารและศิลปินรายอื่นๆ ที่ทั้งส่งผลงานมาร่วมประมูล และมาเขียนภาพเพื่อประมูลกันสดๆ อาทิ ชัยราชวัตร,วสันต์สิทธิเขตต์,ตี๋-ชิงชัย, เอกชัย ลวดสูงเนิน หรือแม้แต่ภาพโปสเตอร์จากคอนเสิร์ต กาลครั้งหนึ่งของคีรีบูน ที่ อ๊อด คีรีบูน ส่งมาร่วมประมูล ตลอดจนอาจารย์และลูกศิษย์จากคณะศิลปะวิจิตรสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์และคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


    อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ หนึ่งใน 5 แกนนำพันธมิตร เดินทางไปร่วมงานด้วยเช่นกันและบอกเล่าว่าเมื่อ 30 ปีก่อน สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เคยประทับใจบทกวี วักทะเลของท่านอังคารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะท่อนที่ว่า
     
    และเห็นว่าท่านอังคารเป็นกวีที่จินตนาการอันล้ำลึก จนถึงวันนี้บทกวีทุกบทก็ยังคงเป็นอมตะ แม้จะผ่านเวลามานานหลายปี


         ยลศิริ ดำช่วย เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลกองอำนวยการในงาน อังคาร...ผู้ผ่านปัจฉิมวัย ได้สรุปยอดของเงินเพื่อช่วยเหลือท่านอังคาร  (ในช่วเวลา ๑๙.๐๐ น.) ก่อนที่กิจกรรมจะสิ้นสุดลง (ไม่รวมส่วนที่มีการโอนเข้าบัญชีของอาจารย์อุ่นเรือน ภรรยาอาจารย์อังคารและมอบให้กับมือท่านอังคารโดยตรง) แบ่งเป็น ๓ ส่วนคือ ยอดเงินธารน้ำใจ (ยอดเงินที่ผู้มาร่วมงานบริจาค) ๗๓๕,๗๕๒ บาท, ยอดเงินร้านน้ำใจ (ยอดเงินจากการขายสินค้าของร้านค้าเฉพาะกิจ) ๑๑๕,๕๒๗ และยอดเงินจากการประมูลผลงานศิลปะ ๓๒๗,๔๕๐ บาท


         รวมเป็นเงินที่มอบให้กับท่านอังคาร ทั้งสิ้น ๑,๑๗๘,๗๒๙ บาท
                                                                                                                        
เรื่อง : ฮักก้า
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
ASTV ผู้จัดการออนไลน์     


ที่มา : http://www.facebook.com/note.php?note_id=166846373408586


------------------------------------------------------------------------*

(น.๔๘-๔๙)
ปณิธานวิญญาณกวี                                              



๑.ฉันเอาฟ้าห่มให้ หายหนาว
ดึกดื่นกินแสงดาว ต่างข้าว
น้ำค้างพร่างกลางหาว หาดื่ม
ไหลหลั่งกวีไว้เช้า ชั่วฟ้าดินสมัย ฯ


๒.พลีใจเป็นป่าช้า อาถรรพณ์
ขวัญลิ่วไปเมืองฝัน สั่งฟ้า
เสาะทิพย์ทั่งมิติสวรรค์ มาโลก
โลมแฝนทรายเส้นหญ้า เพื่อหล้าเกษมศานต์ ฯ


๓.นิพนธกวีไว้เพื่อกู้ วิญญาณ
กลางคลื่นกระแสกาล เชี่ยวเกล้า
ชีวีนี่ฤานาน เปลืองเปล่า
ใจเปล่งทิพย์ไว้ ค่าฟ้าอนันตกาล ฯ


๔.จิตกาธารกรุ่นไหม้ โฉมไป ก็ดี
กาพย์ร่ำหอมแรงใจ ไป่แล้ว
อุบัติภพเอกภพไหน ภพนั่น
ขวัญท่วมทิพย์พร่างแพร้ว ร่วงแก้วมณีสมัย ฯ


๕.ลายสือไหววิเวกให้ หฤหรรษ์
ฝนห่าแก้วส่วยสวรรค์ ดับร้อน
ใจปลิวลิ่วไปฝัน ภพอื่น
หอมโลกโศกศิลป์สะท้อน โลกหน้ามาหอม ฯ


๖.ข้ายอมสละทอดทิ้ง ชีวิต
หวังสิ่งศิลป์ฤมิต ใหม่แพร้ว
วิชากวีจุ่งศักดิ์สิทธ์ สูงสุด
ขลังดั่งบุหงาป่าแก้ว ร่วงฟ้ามาหอมฯ




๒๕๐๒ ธนบุรี
อังคาร กัลยาณพงศ์





ที่มา :  http://www.facebook.com/note.php?note_id=167140316712525

--------------------------------------------------------*
 (น.๕๐-๕๕)

ชาดก  
                                                    
อดีตชาติของพระพุทธเจ้า ชนะ กันที่ ศีล
(ราโชวาทชาดก)

    ในปัจจุบันมีการแสดงบัญชีทรัพย์สิน ใช้เป็นวิธีการหนึ่งที่จะตรวจสอบ ความซื่อสัตย์สุจริต ของรัฐมนตรี ซึ่งเข้าไปทำงานในคณะรัฐาล แต่ในสมัยโบราณกาลนานมาแล้ว ผู้ปกครองบ้านเมืองใช้วิธีการอื่นๆ ยิ่งกว่านั้นในการตรวจสอบ คนดี และตรวจสอบ ผลงาน ที่ทำไว้ให้กับประชาชน


    พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่องของการ ตรวจสอบความดีโดยตรัสเล่า ราโชวาทชาดก เอาไว้ว่า
  
ในอดีต กาล ณกรุงพาราณสี พรหมทัตกุมาร ได้เจริญวัย มีพระชนม์ ๑๖ พรรษา ก็เสด็จไปร่ำเรียนที่เมืองตักกสิลาทรงสำเร็จศิลปศาสตร์ทุกแขนงเมื่อพระราชบิดาสวรรคตไปแล้ว ก็ทรงได้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ จัดการปกครองบ้านเมืองตามทำนองคลองธรรม ทรงวินิจฉัยคดีต่างๆอย่างไม่มีอคติใดๆ เลย

    เมื่อพระองค์เสวยราชสมบัติโดยธรรมอย่างนี้ แม้พวกอำมาตย์ก็ทำตาม วินิจฉัยคดีโดยธรรมเหมือนกัน

    ครั้นคดีทั้งหลายได้รับการวินิจฉัยโดยธรรม จึงไม่มีคดีคดโกงเกิดขึ้น และก็เพราะไม่มีคดีคดโกงนี่เอง การร้องทุกข์ ณ พระลานหลวงจึงหมดไป ดังนั้นแม้พวกอำมาตย์จะมานั่งบนบัลลังก์ศาลอยู่ตลอดวัน ก็ไม่เห็นใครๆ มาเพื่อให้วินิจฉัยคดี จนต่างก็พากันลุกกลับไป ปล่อยให้สถานที่วินิจฉัยคดีนั้นถูกทอดทิ้งไว้อย่างเงียบเหงา

    พระเจ้าพรหมทัตจึงทรงดำริว่า
    เมื่อเราครองราชสมบัติโดยธรรม ไม่มีผู้คนมาให้วินิจฉัยคดี ไม่มีผู้มาร้องทุกข์บัดนี้เราควรที่จะตรวจสอบโทษของตนเองได้แล้ว หากเรารู้ว่านี่เป็นโทษของเรา ก็จะละโทษนั้นเสีย ประพฤติในสิ่งที่เป็นคุณเท่านั้น


    ตั้งแต่นั้นมา พระราชาก็ทรงสำรวจดูว่า
    “จะมีใครๆ พูดถึงความผิดของเราบ้านหนอ”
    ครั้นไม่ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงความผิดใดๆ บ้างเลย แม้ในระหว่างข้าราชบริพารภายใน กลับทรงสดับแต่คำสรรเสริญคุณของพระองค์ถ่ายเดียว จึงทรงดำริว่า

    ชะรอยชนเหล่านี้เพราะกลัวเรา จึงไม่กล้ากล่าวถึงโทษภัยความผิดของเรา กล่าว แต่คุณของเราเท่านั้น


    ดังนั้นเองจึงทรงสอบถาพข้าราชบริพารภายนอก แม้ในหมู่ข้าราชบริพารเหล่านั้นก็มีแต่สรรเสริญอีก จึงทรงสอบถามชาวเมืองภายในพระนคร แม้ในที่นั้นๆ ก็มิได้ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงความผิดใด เลย ทรงสดับแต่คำสรรเสริญพระองค์เท่านั้น จึงทรงดำริว่า

    เราจะต้องไปตรวจสอบชาวชนบทดู
    แล้วทรงมอบราชสมบัติให้เหล่าอำมาตย์ดูแล เสด็จขึ้นรถไปกับสารถีเท่านั้น ทรงปลอมพระองค์ไม่ให้ใครรู้จัก เสด็จออกจากพระนคร พยายามสอบถามชาวชนบทต่างๆจนเสด็จถึงภูมิประเทศชายแดน ก็ยังมีได้ทรงเห็นใครๆ กล่าวถึงโทษของพระองค์ ทรงสดับแต่คำสรรเสริญพระคุณเท่านั้น ดังนั้นจึงทรงบ่ายพระพักตร์สู่พระนคร โดยเสด็จกลับตามทางหลวงจากเขตชายแดนนั้น

    ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง แม้พระเจ้าโกศลผู้ทรงพระนามว่า พัลลิกะ ก็ทรงครอบครองราชสมบัติโดยธรรม ได้ทรงตรวจสอบหาโทษของพระองค์เอง ในบรรดาข้าราชบริพารเช่นกัน แต่มิได้ทรงเห็นใครๆกล่าวถึงโทษเลย ทรงสดับแต่คำสรรเสริญพระคุณของพระองค์เท่านั้น จึงทรงตรวจสอบไปถึงชาวชนบท จนกระทั่งได้เสด็จถึงภูมิประเทศเดียวกัน

    กษัติย์ทั้งสองจึงได้ประจันหน้ากัน ในที่ทางเกวียนอันราบลุ่มแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีทางที่รถจะหลีกกันได้ สารถีของพระเจ้าพัลลิกะจึงพูดกับสารถีของพระเจ้าพรหมทัตว่า
    จงหลีกรถของท่านออกไป


    สารถีของพระเจ้าพรหมทัตก็ตอบว่า
    พ่อมหาจำเริญ ของให้ท่านหลีกรถของท่านก่อนเถิด บนรถนี้มีพระเจ้าพรหมทัตมหาราช ผู้ครอบครองราชสมบัติในกรุงพาราณสีประทับอยู่


    สารถีของพระเจ้าพัลลิกะจึงรีบพูดบ้างว่า
    พ่อมหาจำเริญ บนรถนี้พระเจ้าพัลลิกมหาราช ผู้ครอบครองราชสมบัติในแคว้นโกศลก็ประทับอยู่ ขอท่านได้โปรดหลีกรถของท่าน แล้วให้โอกาสแก่รถพระราชของเราเถิด


    ฟังดังนั้นสารถีของพระเจ้าพรหมทัตคิดในใจว่า
    แม้ผู้ที่นั่งอยู่ในรถนั้นก็เป็นพระราชาเหมือนกัน เราควรจะทำอย่างไรดีหนอ


    ทันใด....ก็นึกขึ้นได้ว่า
    เราน่าจะถามถึงวัย หากพระราชาใดมีพระชันษามากกว่า ก็ให้รถของพระราชาหนุ่มหลีกไป แล้วให้พระราชทานโอกาสแด่พระราชาวัยแก่กว่า


    ครั้งตกลงใจแล้ว จึงได้ถามถึงวัยของพระเจ้าพัลลิกะกับสารถี แล้วกำหนดกันไว้ แต่ผลปรากฏว่า พระราชาทั้งสองมีวัยเท่ากันอีก จึงถามถึงปริมาณราชสมบัติ กำลังพล ยศ ชาติ โคตร ตระกูล และประเทศ

    ผลการตรวจสอบก็คือทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ครองรัชสีมาประมาณฝ่ายละสามร้อยโยชน์มีกำลังพล ยศ ชาติ โคตร ตระกูล และประเทศทัดเทียมกันอีก

    สุดท้ายสารถีของพระเจ้าพรหมทัตฉุกคิดขึ้นมได้
    “เราจะให้โอกาสแก่ผู้มีศีลสูงกว่า จึงจะเป็นการถูกต้องที่สุด”
    จึงถามออกไปว่า
    พ่อมหาจำเริญ ศีลและมารยาทแห่งพระราชาของท่านเป็นอย่างไร


    เมื่อนั้นสารถีของพระเจ้าพัลลิกะจึงหระกาศคุณแห่งพระราชาของตนว่า
     พระเจ้าพัลลิกะทรงแข็งต่อผู้ที่แข็ง ทรงอ่อนต่อผู้ที่อ่อน ทรงชนะคนดีด้วยความดี ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความไม่ดี พระราชาของเรามีคุณเป็นอย่างนี้ ดูก่อนสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด


    ลำดับน้นสารถีของพระเจ้าพรหมทัตก็กล่าวบ้าง
    ท่านจงฟัง...พระเจ้าพรหมทัตแห่งพาราณสีทรงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ ทรงชนะคนไม่ดีด้วยความดี ทรงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ ทรงชนะคนพูดเหลาะแหละด้วยคำสัตย์ พระราชาของเรานี้เป็นเช่นนั้น ดูก่อนสารถี ท่านจงหลีกทางถวายพระราชาของเราเถิด


    เมื่อสารถีของพระเจ้าพรหมทัตกล่าวจบลง พระเจ้าพัลลิกะก็เสด็จลงจากรถทันที สารถีก็ปลดม้าถอยรถ ถวามยทางแด่พระเจ้าพรหมทัต

    พระเจ้าพรหมทัตจึงได้ถวามยโอวาทแต่พระเจ้าพัลลิกะ ถึงการที่พระราชาควรปกครองโดยธรรมอย่างไร แล้วจึงเสด็จกลับไปยังกรุงพาราณสี

    กษัตริย์ทั้งสองทรงกระทำบุญ เพิ่มพูนทางสวรรค์ ตราบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์

    พระศาสดาทรงนำชาดกนี้มาแสดง แล้วตรัสว่า
    นายสารถีของพระเจ้าพัลลิกะในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระโมคคัลลานะในบัดนี้ พระเจ้าพัลลิกะได้เป็นพระอานนท์ สารถีของพระเจ้าพรหมทัตได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนพระเจ้าพรหมทัตก็คือ เราตถาคตนั่นเอง


ณวมพุทธ
พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๑๕๑
อรรถกถาแปลเล่ม ๕๗ หน้า ๑๕๐


    จะเห็นได้ว่ามีมาแล้วแม้ใน สมัยก่อน ใช่ว่าจะตรวจสอบ ‘คนดี’แค่ลาภยศสรรเสริญเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ยอมรับนับถือกันอย่างมากก็คือ การเป็นผู้มี ศีล แม้ในวงการเมืองก็ตาม

     ดังนั้นการแสดงบัญชีทรัพย์สิน จึงเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่จะตรวจสอบคุณภาพ ‘ความดี’ หรือ ‘ความมีศีล’ ของรัฐมนตรีเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แต่ไม่อาจป้องกันการคอร์รัปชั่นคดโกงได้หมด เพราะไม่มีวิธีการใดๆ ในโลก จะขัดขวางไม่ให้คนเลงทุจริตได้เลย นิสัยคนชั่วสามารถจะฉ้อฉล โกงกินด้วยค่ายกลและกลเม็ดสกปรกต่างๆ จนได้

    ปัญหาที่จะแก้ไขข้าราชการการเมืองให้สะอาดขึ้น จึงมีได้อยู่ที่เพียงวิธีการสร้าง ‘หลักการ’ ทางการเมืองเท่านั้น แต่จะต้องแก้ไขกันที่ตัวตนเหตุด้วย นั่นก็คือแก้ ‘สันดาน’ ของนักการเมือง ให้มีศีลขึ้นมาอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ตีทะเบียนศาสนาไว้โก้ๆ เท่านั้น

    หากข้าราชการ (ทั้งการเมืองและประจำ) ซึ่งเป็นผู้รับใช้ประชาชน ปรับแก้สันดานดีขึ้นแค่ศีล ๕ ก็พอแล้ว คือมีศีลแม้ทางพฤติกรรม มีศีลทางคำพูด มีศีลถึงจิตใจจริงๆ ปัญหาต่างๆของบ้านเมืองก็จะลดน้อยลงอย่างมหาศาลเลยทีเดียว

    แต่จะให้ข้าราชการเป็นคนดีมีศีล ก็จะแก้ไขเหตุการณ์บ้านเมืองได้บางส่วนเท่านั้นจะให้ดีกว่านี้จึงต้องให้ประชาชนทั้งหมดนั่นแหละ ร่วมแรงร่วมใจกันมีศีลให้มากขึ้น

    อย่ามัวคิดแต่จะไปตรวจสอบศีลของรัฐมนตรี (รมต.) จนเพลิน แล้วลืมหันมาตรวจสอบรมต. คือ ตรวจสอบรักษาศีลมาตรฐานของตนล่ะ

    ชาติจะเจริญมิใช่แค่ใครทำดีบางคนเท่านั้น แต่ชาติจะเจริญเพราะทุกคนช่วยกันทำดี


ที่มา : http://www.facebook.com/note.php?note_id=167278106698746

-------------------------------------------*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น